เรื่องเด็กๆ

รถตู้สีขาวคาดแถบด้านข้างด้วยตราสัญลักษณ์โรงเรียนชื่อดังพร้อมสโลแกนว่า ‘กีฬาเด่น เน้นภาษา  วิชาเป็นเลิศ เจิดจรัสเป็นหนึ่ง’ แล่นมาจอดหน้าบ้าน เป็นสัญญาณบอกว่า เวลาทำงานกะกลางวันของผมหมดลง
“กลับมาแล้ว…” เสียงเจ้าลูกชายคนเล็กดังเข้ามาก่อนตัวเหมือนทุกครั้ง และก็เหมือนทุกครั้งอีก  เช่นกันที่จะมีอีกเสียงตามมา
“พี่มาถึงก่อน” น้ำเสียงฉุนเฉียวดังกว่าเสียงแรกเป็นของเจ้าคนพี่
“ทูถึงก่อน ทูเข้าประตูในบ้านก่อน” เจ้าทูตะโกนพลางแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่ชาย น้ำเสียงเริงร่ากลั้วหัวเราะยินดีราวกับจะประกาศชัยชนะที่เป็นผู้ก้าวเข้าบ้านได้ก่อน บ่อยครั้งที่ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ที่ประตูบ้านผมนั้นมีเส้นชัยพร้อมธงตาหมากรุกติดอยู่หรืออย่างไร
“ก็ทูไม่ปิดประตูรั้ว พี่ปิดก็ช้ากว่าสิ”
“ช่วยไม่ได้…อยากลงรถช้าเองทำไม”
“ไอ้ทู เดี๋ยวเหอะ”
นั่นล่ะเหตุที่ทำให้เวลาทำงานของผมเป็นอันต้องหมดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้

สี่โมงสิบห้า บวกลบไม่เกินสิบนาที เป็นเวลาที่ครูและโรงเรียนหมดพันธะกับนักเรียนชั่วคราว ว่าไปแล้วโรงเรียนที่แม่ของเจ้าสองคนนั่นเลือกให้เด็กๆ ก็นับว่าสมคำโฆษณา สาแก่ค่าเล่าเรียน
กีฬาเด่น…นอกจากวิขาพลศึกษา อย่างที่เด็กโรงเรียนวัดบ้านนอกอย่างผมได้เรียนสัปดาห์ละครั้งแล้ว โรงเรียนนี้ยังมีสอนว่ายน้ำ ยูโด ยิมนาสติก บวกเข้าไปอีกชนิดกีฬาละ 1 คาบต่อสัปดาห์
เน้นภาษา…ไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ลูกผมได้เรียนหมด 4 ภาษา สำหรับสมองเด็กตัวกะเปี๊ยก ได้ดีทั้งหมดก็แปลก แต่แปลกที่ไอ้ทูของผมดันอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้ดีกว่าภาษาไทย หนำซ้ำเวลาแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ มันยังออกสำเนียงชัดแจ๋วว่า
“มาย เนม’ส เพลโต้”
ครับ, น่าจะแปลว่า ผมชื่อเพลโต้ แต่ผมคนไทยภาคอีสานแท้ๆ ไม่กล้าตั้งชื่อลูกฝรั่งจ๋าแบบนั้นหรอก แค่ลูกเรียกผมปาป๊า ให้เข้าคู่กับที่เรียกแม่ว่ามาม้า เพื่อนฝูงก็ล้อผมจะแย่
ปลาทูครับ ลูกผมชื่อปลาทู ตอนเข้าอนุบาล 1 ครูให้เขียนชื่อเจ้าทูเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็สะกดแบบ สเน็กๆ ฟิชๆ ได้ว่า Pla = ปลา To = ทู รวมกันเป็น Plato ทีแรกจะสะกด ทู ด้วย Two – ทู – 2 ด้วยซ้ำ แต่แม่เขาไม่ชอบ เธอว่า ถึงลูกจะเป็นคนที่สอง แต่เธอก็ไม่อยากให้ลูกเป็นสองรองใคร นั่นล่ะเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอเลือกโรงเรียนเริ่ดๆ ให้ลูกๆ
“มาย เนม’ส เพลโต้” เย็นวันแรกที่เจ้าทูเรียนภาษาอังกฤษกับครูฝรั่ง มันเข้ามาแนะนำตัวกับผมแบบนี้
“เฮ้ย…เอ็งชื่อไรนะ”
“ปลาทูไง วู้…จำชื่อทูไม่ได้หรอ?” ไอ้ตัวดีทำหน้าเหมือนจะบอกว่า…ป๊านี่โง่จริง
“ก็เมื่อกี๊บอกชื่อเพลโต้ ป๊าก็นึกว่าครูเอาเด็กมาส่งผิดบ้านสิวะ”
“ทิชเชอร์บอกว่าชื่อทูอ่านว่าเพลโต้”
“เออๆ เอ็งอยากชื่ออะไรก็ชื่อไป” ผมตัดบทก่อนที่ไอ้ทูจะพูดประโยคที่ผมคิดไว้ออกมา

วิชาเป็นเลิศ…เรื่องนี้น่าจะจริงเพราะตารางเรียนแน่นเอี้ยดไปด้วยชื่อวิชาที่คนรุ่นผมไม่คุ้นตอนเป็นนักเรียน แต่มาคุ้นกันตอนเป็นพ่อเป็นแม่นี่ล่ะ สมัยผม เอ๊ะ…หรือคุณๆ ด้วย จำได้มั้ย ส.ป.ช. สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ส.ล.น. สร้างเสริมลักษณะนิสัย ก.พ.อ. การงานและพื้นฐานอาชีพ เป็นไงล่ะ เรียนได้เรียนตกอย่างผมยังจำชื่อวิชายาวๆ แบบนี้ได้ แต่อย่าถามนะว่า แต่ละวิชานั้นครูสอนอะไรบ้าง จำได้เลาๆ ว่า ส.ป.ช. เนี่ยเป็นลูกครึ่งระหว่างวิทยาศาสตร์กับสังคม นั่นทำให้ผมที่ดันได้เกรดสี่วิชานี้สับสนมาก ว่าตัวเองถนัดอะไรกันแน่ระหว่างสังคมกับวิทย์ แล้วผมก็สรุปแบบเดาๆ เอาว่าน่าจะเป็นวิทย์ เพราะหนังสือ ส.ป.ช. ส่วนที่เป็นวิทยาศาสตร์นั้นหนากว่าส่วนสังคมเกือบครึ่ง
แล้ว ส.ป.ช. ก็สร้างเสริมให้ประสบการณ์ชีวิตมัธยมของผมได้ดีระดับหนึ่ง คือทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต เกรดหนึ่งล้วนๆ หรือจะเรียกแบบทิชเชอร์ไอ้โต้ เอ๊ย…ไอ้ทูก็เรียกว่าเป็นนักเรียนเกรดดีนั่นล่ะ
ชื่อวิชาที่ลูกๆ ผมเรียนอยู่แต่ละเทอมนั้น มันยาวและพิสดารกว่าตอนเราๆ ท่านๆ เรียนกันนัก โชตดีที่ผมไม่จำเป็นต้องไปร่วมท่องจำอะไรยาวๆ ยากๆ แบบนั้นกับลูก เพราะแม่ของเด็กๆ เขารับหน้าที่นี้ไป ด้วยความเต็มใจบวกกับไม่ไว้ใจผมนั่นล่ะ

สองเสียงยังตะเบ็งแข่งกันอยู่
“ป๊า พี่ทอนเขกหัวทู”
“ทูแกล้งพี่ก่อน”
“พี่ทอนชกทูก่อน”
“ทูไม่ยอมทำการบ้าน พี่จะฟ้องแม่”
*****

ว่าไปชื่อเจ้าทอนนี่ก็สร้างความสับสนให้คนอื่นๆ ไม่แพ้ชื่อไอ้ทู ที่กลายเป็นไอ้โต้ได้ โชคดีที่มันเป็นผู้ชาย ถ้าเกิดเป็นผู้หญิงแล้วชื่อแผลงเป็นอีโต้ คงน่ารักพิลึก
ชื่อปลาทู เพี้ยนเป็น เพลโต้ เพราะครูฝรั่ง แต่ชื่อเจ้าทอนนี่ ให้ครูไทยเขียนกี่คนต่อกี่คนเขียนว่า ธร กันทั้งนั้น ของแท้ต้อง ทอ-ออ-นอ ทอน ครับ ชื่อเล่นเต็มๆ ว่า ‘ตังค์ทอน’ เห็นความช่างคิดของแม่เขามั้ยล่ะ เธอบอกว่าทำอะไรจะได้มีตังค์ทอนตลอด ไม่มีเงินขาดกระเป๋าอย่าง ภูธร พ่อมันซึ่งชื่อต่างจังหวัดมาก…
ถึงไหนแล้วนะครับ อ้อ…วิชาเป็นเลิศ แล้วก็จบอย่างสวยงามว่า
เจิดจรัสเป็นหนึ่ง…เป็นหนึ่งแปลว่าไม่เป็นสองรองใคร ข้อนี้เป็นไปได้จริงก็บ้าแล้วครับ นักเรียนเป็นพันๆ เป็นที่หนึ่งทุกคนก็บ้าแล้ว เพราะนโยบายเป็นหนึ่งนี่ล่ะครับที่ทำให้ผมประสาทเสียอยู่ทุกวันนี้ แทบจะเอาเด็กๆ ออกจากโรงเรียนให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
คุณเห็นอะไรมั้ยล่ะ แค่ก้าวเท้าเข้าประตูบ้าน ลูกๆ ผมยังต้องแย่งกันเป็นคนเข้าก่อน ไอ้ที่สังคมผู้ใหญ่มันวุ่นวายนี่ไม่ใช่เพราะแย่งกันเป็นหนึ่งหรอกหรือ คนรุ่นตัวเองนิสัยเสียไม่พอ ยังปลูกฝังความคิดแย่ๆ ให้เด็กรุ่นหลังอีก แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงให้แม่ของเด็กๆ เปลี่ยนใจจากโรงเรียนนี้ได้ เธอว่า ที่ให้ลูกเรียนโรงเรียนดีๆ แพงๆ วิชาแน่นๆ เพื่อให้ลูกมีภูมิแกร่งสะสมไว้ใช้เมื่อโตขึ้น ซึ่งผมได้แต่แอบเรียกลับหลังว่า  ภูมิแก่งแย่งชิงดี
ผมได้แต่หวังว่า ภูมิรักในครอบครัวจะทำให้ภูมิแก่งที่ว่าเป็นภูมิแกร่งขึ้นมาได้จริงๆ
*****

“ก็ทำไม่เป็นนี่ พี่ทอนก็ไม่ยอมสอน”
“การบ้านใครก็ทำเองสิ ไม่ได้เรียนด้วยจะไปรู้หรอ”
“อยู่ปอห้าทำการบ้านเด็กปอสองก็ไม่ได้ กระจอกว่ะ”
เสียงสองพี่น้องดังสลับเสียงตุ้บตั้บ และ…
“ไปไกลๆ เลยไป ไม่ต้องมายุ่งกับพี่”
ว่าแล้วไอ้คนออกปากไล่กลับเดินหนีไปซะเอง เรื่องแบบนี้บ้านไหนที่มีลูกวัยไม่ห่างกันมากคงชิน
อาล่ะ ขอเวลาผมทำหน้าที่พ่อที่ดีสักแป๊บ เรื่องสอบสวนคดีเอาไว้ก่อน การบ้านต้องทำก่อนเด็กง่วง ข้อนี้บรรดาพ่อๆ แม่ๆ รู้ดี
“ไหนการบ้านอะไรที่ทูทำไม่ได้”
“ครูให้เขียนคำขวัญวันนักเรียนไทย” ไอ้ทูทำหน้าหักสมชื่อปลาทู
“ก็เขียนไปสิ เมื่อวานท่องอยู่ทำไมวันนี้เขียนไม่ได้”
“ไม่ใช่ของปีนี้ป๊า โจทย์ถามว่า…คำขวัญวันนักเรียนไทยปีนี้คือ ‘นักเรียนไทย ใฝ่เรียนรู้  เชิดชูชาติ ปราศจากยาเสพติด’ อยากทราบว่าคำขวัญวันนักเรียนไทยปีที่แล้วคือ…”
เวรจริงๆ ผมล่ะอยากเห็นหน้าครูที่ถามคำถามนี้นัก ไม่ได้สร้างสรรค์เลยสักนิด ให้เด็กท่องคำขวัญ  ปีนี้ไม่พอ ยังให้ไปขุดหาของเก่าอีก
ไอ้วันนักเรียนไทยมันเริ่มมีตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่รู้ ผมเพิ่งรู้ว่าวันสำคัญของประเทศนี้มีเยอะกว่าที่คิด ก็ตอนที่ลูกผมสองคนเข้าโรงเรียนนี่แหละ
*****

นึกย้อนไปตอนเรียนชั้นประถม จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าสองหรือสามปีที่พอถึงวันเด็กท่านนายกฯก็ประกาศว่า คำขวัญวันเด็กปีนี้เหมือนปีที่แล้ว ผมหงุดหงิดใจมาก จนเมื่อครูให้เขียนเรียงความเรื่องวันเด็กผมเขียนลงไปว่า
“ผมอยากไปงานวันเด็กที่กรุงเทพฯ ไปนั่งเก้าอี้นายกฯแล้วเขียนจดหมายถึงท่านแปะไว้ที่โต๊ะว่า …ท่านนายกฯครับ ผมรอวันนี้มาสองสามรอบแล้วว่าท่านจะมีคำขวัญอะไรใหม่ๆ มาให้เด็กๆ อย่างพวกผม แต่ท่านกลับบอกว่าเหมือนปีที่แล้ว ผมผิดหวังมาก…แต่พ่อผมบอกว่านายกฯงานเยอะมากไม่มีเวลามาคิดเรื่องเด็กๆ หรอก ถ้าเป็นอย่างนั้นท่านคงไม่มีเวลาอ่านจดหมายลายมือโย้เย้ของเด็กอย่างผมหรอก ผมก็เลยเปลี่ยนใจขอให้พ่อพาไปเที่ยวเขาดินแทน”

ผลน่ะหรือครับ ครูกากบาทผิดตัวเบ้อเริ่มไว้บนเรียงความ แถมเรียกผมให้ยืนขึ้นถามเสียงเขียว
“ภูธร ท่องคำขวัญวันเด็กให้ฟังหน่อยซิ”
“…………..” ผมพยายามนึกแต่ก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ก็คำขวัญที่ผมคัดตัวบรรจงเต็มบรรทัดนั้นมันยาวตั้งสี่บรรทัด ข้อความ ซื่อสัตย์…ประหยัด…สัตย์ซื่อ….วิ่งพล่านสลับไปมาในหัว
“ว่ายังไง” เสียงครูเพิ่มระดับจากเขียวอ่อนเป็นเขียวเข้ม
“ว่า…เหมือนปีที่แล้วครับ”
“แล้วปีที่แล้วว่ายังไงล่ะ”
“ว่า…เหมือนปีก่อนโน้นครับ” ผมก้มหน้านิ่งยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดในอีกไม่กี่นาที ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นฮาครืน
“พอๆ พวกที่หัวเราะนี่จำได้หรือว่าคำขวัญวันเด็กมีว่าอย่างไร”
เด็กทั้งชั้นเงียบกริบ
“ภูธร ออกมาหน้าชั้น” ครูเรียกพร้อมหยิบไม้เรียวคู่กายขึ้นจากรางชอล์ก จะโดนกี่ทีนะ ผมนึกพลางคลำก้นนุ่มๆ เดินออกไปหน้าชั้นช้าๆ
“เธอว่าคำขวัญมันซ้ำกันกี่ปีนะ”
“สองฮะ” ผมเลือกเอาเลขตัวที่น้อยกว่าเป็นคำตอบ เพราะมุกเก่าๆ ของครูก็คือตอบตัวเลขไหนก็จะตีก้นเด็กด้วยจำนวนครั้งที่เท่ากันนั้น
“ผิด คำตอบคือสาม ครูจะตีเธอสามที ค่าที่ท่องมาสามปีแล้วยังจำไม่ได้ แถมอวดดีไปติเรื่องคำขวัญซ้ำ” ครูขยับไม้เรียวก่อนเงื้อขึ้นสุดแขนแล้วฟาด ขวับๆๆ ลงมาไม่ยั้ง พอนับครบสาม ผมรีบยกมือไหว้ตามธรรมเนียมพร้อมตั้งท่าเดินกลับไปนั่งที่
“เดี๋ยว…อีกข้อหานึง โทษฐานที่ไม่รักดีเปลี่ยนใจจากนั่งเก้าอี้นายกฯไปเขาดิน…”
ระหว่างที่ผมยังงงๆ ว่า ไอ้การอยากไปเที่ยวสวนสัตว์มันผิดตรงไหน อีกสามขวับ ก็กระหน่ำลงที่ก้นช้ำๆ ของผม
หกทีสำหรับเด็กผู้ชายซนๆ ไม่จัดว่าเยอะ ผมเคยโดนถึงโหลนึงด้วยซ้ำ แต่แปลกที่ผมจำไม่ได้ว่าคราวนั้นโดนด้วยข้อหาอะไร ผมทำอะไรผิดนะถึงโดนตีตั้งสิบสองที
การโดนตีในวันก่อนวันเด็ก ด้วยคำขวัญวันเด็ก มันฝังใจผมเพียงนี้เชียวหรือ ผมไม่ยอมให้ไอ้ทูมีรอยในใจแบบผมหรอก ถึงสมัยนี้จะไม่มีการตีเด็กก็เถอะ แต่ไอ้ทูต้องตอบคำถามงี่เง่านี้ได้
สักวันมันจะเข้าใจสัจธรรมว่า เรื่องงี่เง่าบางเรื่อง ผู้ใหญ่บางคนอาจมองเป็นเรื่องฉลาดๆ ได้
*****

“จะไปยากไรวะ เปิดเน็ตดูก็รู้คำตอบแล้ว” ผมบอกไอ้ลูกชายหน้าหัก
“แบบนั้นมันขี้โกงนี่ ครูอยากให้จำได้ ไม่ได้อยากให้ลอกไปส่ง” เอาล่ะสิผมจะสอนลูกยังไงดี ที่จะไม่ให้เขามีความคิดว่า จะทำยังไงก็ได้ ขอแค่กให้ได้คำตอบหรือสิ่งที่ต้องการมาก็พอ แบบที่ผู้ใหญ่ระยำๆ ชอบคิดกัน ครั้นจะให้ลูกหลับหูหลับตาท่องๆ ก็เปลืองเนื้อที่สมอง เสียพลังงาน และเป็นการปิดกั้นจินตนาการอย่างร้ายกาจ เด็กท่องจำเก่ง จินตนาการจะต่ำเพราะไม่กล้าคิดต่าง ผมเชื่อของผมแบบนี้ ไม่สิ ไม่ใช่แค่ไม่กล้าคิดต่าง ไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ ถ้าไอ้โรงเรียนนี้มันเปลี่ยนสโลแกนท่อนสุดท้ายจาก เจิดจรัสเป็นหนึ่ง เป็น เจิดจ้าจินตนาการ แล้วทำให้ได้ผมว่าจะเข้าท่ากว่านี้
“ป๊าว่าครูเขาคงอยากให้เด็กๆ ได้หัดค้นหาความรู้เก่าๆ จากแหล่งข้อมูลต่างๆ อย่างลองหาหนังสือมาอ่าน หรือหัดเสิร์ชหาความรู้ทางอินเตอร์เน็ตมั้ง คงไม่กะว่าเด็กๆ ต้องท่องจำคำขวัญของปีที่ผ่านๆ มาหรอก ไม่งั้นเขาคงถามย้อนไปสามปีห้าปี” ผมบอกลูกในสิ่งที่ไม่ตรงกับความคิด บอกตรงๆ ผมไม่เห็นค่าของคำขวัญเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะคำขวัญวันเด็ก วันนักเรียนหรือวันไหนๆ มีใครจำมันได้บ้าง มีใครเอามันมาใช้ประโยชน์ได้บ้าง ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เคยจำมันได้เลย
“นี่ไง ปีที่แล้วเขาว่า….” ผมชี้ให้ลูกดูคำขวัญที่เรียงรายย้อนไปนับแต่ปีแรกที่มีวันนักเรียนไทยขึ้น
“อันนี้ใช่มั้ยป๊า” นิ้วเล็กๆ จิ้มลงตรงบรรทัดที่เขียนว่า คำขวัญวันนักเรียนไทยประจำ ปี พ.ศ. 2551
ผมพยักหน้า มองอนาคตของชาติบรรจงลอกข้อความนั้นลงสมุด
ประโยคที่ว่า เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า ผุดขึ้นมาในความคิด…มันเคยเป็นคำขวัญวันเด็กหรือวันอะไรผมไม่แน่ใจ แหล่งข้อมูลอยู่ตรงหน้าแต่ผมไม่คิดจะคลิกเข้าไปดู…รู้ไปก็เท่านั้น
อดีตเด็กวันนั้นที่เป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ นึกห่วงผู้ใหญ่วันหน้าขึ้นมาครามครัน
*****

“วันนักเรียนไทยไปไหนกันดี” ผมชวนลูกคุยเรื่องวันหน้าที่ใกล้กว่า เพื่อดึงตัวเองออกจากความคิดที่เตลิดไกล น่าแปลกที่วันนักเรียนไทยเป็นวันที่เด็กนักเรียนไม่ต้องไปโรงเรียน หรือนี่จะเป็นวันที่ผู้ใหญ่ใจดีตั้งใจมอบให้กับเด็กๆ ให้วันนี้เป็นวันของพวกเขาจริงๆ
เด็กกลุ่มที่เรียนหนักที่สุดในโลกจะได้หยุดพักวันนี้ล่ะ
ใครจะเชื่อว่าเด็กที่มีชั่วโมงเรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากเป็นอันดับ 2 ของโลก จะมีผลการเรียนต่ำกว่ามาตรฐานโลกทั้ง 2 วิชา ไม่ใช่ต่ำธรรมดาซะด้วย จะอยู่อันดับไหนนั้นผมก็คร้านจะจำ แต่นี่เป็นพาดหัวข่าวไม่กี่ข่าวในรอบปีที่ผมเชื่อทันทีที่อ่าน
“ไปทำไมป๊า คนเยอะออก โทร.สั่งพิซซ่ามากินดีกว่า” อนาคตของชาติตอบ ผมกังวลหนักขึ้นไปอีก เรื่องไม่ชอบคนเยอะนี่มันได้รับถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากผมแน่ๆ แต่เรื่องอาหารการกินกับความสะดวกสบายที่ปลายนิ้วนี่ผมโทษสิ่งแวดล้อม…ที่ถ้าจำไม่ผิดสมัยเรียนวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า ตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้
สิ่งแวดล้อม การศึกษา อนาคตของชาติ นอกห้องแล็บของโรงเรียน มีตัวแปรไหนที่เราควบคุมได้บ้างล่ะ แค่เรื่องเล็กๆ ของเด็กๆ สองคน ยังอยู่เหนือการควบคุมของผมอยู่บ่อยๆ

“เมื่อกี้ทะเลาะอะไรกับพี่เขาเสียงดังลั่น ทำไมชอบทะเลาะกันหือ” ผมถามเจ้าคนตัวเล็ก
เจ้าตัวดีเฉไฉไปเรื่องอื่น “ทีผู้ใหญ่โตแล้วยังทะเลาะกันได้เลย แค่ใส่เสื้อคนละสี…ทะเลาะกันตั้งเป็นปีๆ” ไอ้ทูทำหน้าเหมือนตอนที่มันบอก มาย เนม’ส เพลโต้ แล้วผมถาม…เอ็งชื่อไรนะ
ผู้ใหญ่นี่โง่จริง…ท่าทางมันบอกอย่างนั้น

“ชิๆ ไอ้นี่เป็นด็กเป็นเล็ก ริคุยเรื่องการเมืองสองสี ไปพูดที่อื่นโดนเตะเอาไม่รู้นา ถ้ามีใครมาขอสัมภาษณ์ออกทีวีเอ็งอย่าพูดอย่างนั้นเชียว” ผมเตือนมันไว้ก่อน ช่วงนี้รายการโทรทัศน์เขายิ่งฮิตออกไปถามความเห็นของเด็กๆ เกี่ยวกับการเมืองเรื่องทะเลาะกันอยู่ซะด้วย
“เอาเป็นว่าวันหยุดไม่อยากออกไปเที่ยวเพราะคนเยอะ?” ผมถามซ้ำทั้งๆ ที่ไม่แปลกใจ อย่าคิดว่าเด็กต้องอยากเที่ยวในวันหยุดไปหมดทุกคน เด็กก็เบื่อที่ที่คนเยอะๆ จะกินจะเล่นต่อแถวเป็นชั่วโมงเป็นเหมือนกัน
แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าลูกๆ อยากได้อะไรพิเศษ ในวันพิเศษของเขาหรือเปล่า มันเป็นวันของพวกเขา พวกเขาควรจะได้มีความสุข
“สมมุติถ้ามีคุณครูเทวดามาให้พรเด็กๆ ในวันนักเรียนเนี่ย ทูจะขออะไร ข้อเดียวนะ” ผมป้องกันตัวด้วยการระบุจำนวนไว้ข้อเดียวนี่ล่ะ
“ขอให้ผู้ใหญ่กลายเป็นเด็ก” คำตอบของมันทำให้ผมแปลกใจ
“จะได้ไม่ต้องมาถามว่าเด็กๆ ว่า ทำไมชอบทะเลาะกัน ทำไมไม่ชอบไปโรงเรียน ทำไมไม่ทาการบ้าน จะได้ไม่มีใครมาบังคับเด็กๆ ให้ทำโน่นนี่”
“เฮ้ย…ถ้าเกิดผู้ใหญ่กลายเป็นเด็ก แล้วทะเลาะกันทุกวันแบบทูกับทอน บ้านเมืองได้บรรลัยฉิบหายพอดี”
“ไม่ร้อก เชื่อเพลโต้สิ”
มันว่าแล้วรวบสมุดการบ้านยัดใส่กระเป๋า เทตัวต่อเลโก้ออกมาเกลื่อนพื้น เอาตัวโน้นมาต่อตัวนี้เป็นสิ่งก่อสร้างหน้าตาพิลึก
*****

“เลโก้หรอ สร้างอะไรน่ะ พี่เล่นด้วย”  เจ้าทอนเข้ามาขอเล่นด้วยราวกับไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน เจ้าทูก็ดูเหมือนจะลืมเรื่องนั้นไปแล้ว
คดีนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร ใครชกใคร ใครเขกหัวใคร ใครด่าใคร ผมคงไม่ต้องสืบแล้ว
สองพี่น้องช่วยกันต่อชิ้นโน้น จัดวางชิ้นนี้ แล้วสิ่งก่อสร้างหน้าตาประหลาดเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน      ก็กลายเป็นเมืองขนาดย่อม
*****

“สมมุติถ้ามีคุณครูเทวดามาให้พรเด็กๆ ในวันนักเรียนเนี่ย ทูจะขออะไร ข้อเดียวนะ”
“ขอให้ผู้ใหญ่กลายเป็นเด็ก”
“เฮ้ย…ถ้าเกิดผู้ใหญ่กลายเป็นเด็ก แล้วทะเลาะกันทุกวันแบบทูกับทอน บ้านเมืองได้บรรลัยฉิบหายพอดี”
“ไม่ร้อก เชื่อเพลโต้สิ”

ครับ, ผมเชื่อ

************************

1 Responses to เรื่องเด็กๆ

  1. dhanawatana พูดว่า:

    สวัสดีปีใหม่ครับ..

ใส่ความเห็น