คนกวาดถนนสายวรรณกรรม

ไม่รู้ว่าจะเรียกอารมณ์ตัวเองตอนนี้ว่ายังไงดี เหนื่อย เศร้า โมโห หรือท้อ

สิ่งที่ไม่ควรปล่อยให้สูญเสียไป คือการสูญเสียความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนเองทำ ฉันรู้ดี แต่ฉันกำลังสูญเสียสิ่งนั้น

ฉัน คนตรวจปรู๊ฟ หรือเรียกให้ถูกตามหลักภาษาไทย ก็คือ พิสูจน์อักษร

อาชีพที่นักเขียนหลายคนมองราวกับเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองที่คร่ำครึ ยึดติดกับอะไรเก่าๆ ไม่ทันโลก
อาชีพที่นักเขียนหลายคนมองว่า ดีแต่กอดตำรา ยกกฎเกณฑ์มาอ้าง ไร้ความสามารถที่จะสร้างสรรค์ถ้อยคำด้วยตนเอง ปฏิเสธการสร้างคำใหม่ๆ
อาชีพที่นักเขียนบางคนมองว่าต่ำกว่าพวกเขาหลายขุม

ฉันไม่ได้คิดไปเอง…

นักเขียน (ยังไม่ดัง) คนหนึ่ง ฝากของบางอย่างให้ฉันช่วยนำไปให้กองบรรณาธิการคนหนึ่งเพราะเห็นว่าทำงานที่เดียวกัน ฉันไม่ขัดข้อง แต่เมื่อของนั้นไปถึงมือกองบรรณาธิการสาว คำที่เธอเอ่ยมาไม่ใช่คำขอบคุณ แต่เป็นคำว่า “พี่ไปรู้จักเขาได้ยังไง”

น้ำเสียงและกิริยาของเธอราวกับว่า การที่คนตรวจปรู๊ฟคนหนึ่งรู้จักนักเขียนคนหนึ่ง ดูเป็นการอาจเอื้อม เป็นมิตรภาพข้ามชนชั้นอย่างไรอย่างนั้น

งานเสวนาวรรณกรรม หรือกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อคนรักหนังสือที่ใครก็ตามที่รักการอ่านการเขียนมีสิทธิ์ที่จะไปร่วม ยังมีคนเช่นเดียวกับเธอคนนั้นตั้งคำถามว่า “เป็นปรู๊ฟมาทำไม” หลายๆ งานฉันจึงเลือกที่จะเลี่ยง
………………………….

ในยามที่คนตรวจปรู๊ฟถามข้อมูลเกี่ยวกันคำที่กองบรรณาธิการผู้เรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนเขียนมา คนที่ใส่ใจจะตรวจทานแก้ไขในจุดที่ถูกท้วง แต่บางคนสวนกลับมาอย่างฉุนเฉียวว่า “ตามที่เขียนนั่นแหละถูกแล้ว” ทั้งๆ ที่เขียนคำเดียวกันในแต่ละที่ไม่เหมือนกันเลย เขามั่นใจว่าถูกเพราะก๊อบปี้ข้อความมาจากเว็บ แต่ลืมไปว่าไม่ได้เอามาจากเว็บเว็บเดียว และไม่ได้ดูว่าแต่ละเว็บนั้นใช้คำไม่เหมือนกัน

กองบรรณาธิการเดี๋ยวนี้ทำงานง่ายขึ้นด้วยเทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัย (อ๊ะ…อย่าบอกว่า “เป็นปรู๊ฟรู้ได้ยังไง” ฉันเคยเป็นกองบรรณาธิการอยู่นานพอควร บอกได้เลยว่าสบายกว่าปรู๊ฟเยอะ อิสระเยอะกว่า และได้รับเกียรติเหนือกว่าหลายเท่า ส่วนเหตุผลที่ปัจจุบันเป็นปรู๊ฟไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่เล่าละกัน) ขณะที่ความสะดวกสบายมากขึ้นแต่ความละเอียด ความใส่ใจ และความแม่นยำของข้อมูลกลับลดลง

เย็นวันศุกร์ ผู้ใหญ่ในออฟฟิศที่ไม่เคยรู้ว่าต้นฉบับปรู๊ฟแรกเละเทะแค่ไหน (เพราะเราเลิกอ่านปรู๊ฟแรกรวมทั้งอาร์ตเวิร์กบนกระดาษนานแล้ว แต่นึกๆ ดู ตอนแก้กันแดงเถือกก็ไม่มีใครมาดูมารับรู้อยู่ดี อ้อ…ใครคิดจะเขียนถึงปรู๊ฟรับทราบข้อมูลนี้ด้วยว่า ปรู๊ฟไม่ได้แค่ถือปากกาแดงกาๆ ลงบนกระดาษ ฝ่ายศิลป์จัดอาร์ตเวิร์กมาในโปรแกรมไหน ปรู๊ฟก็แก้โปรแกรมนั้นแหละ) ตำหนิว่าเจอคำผิด ตัว s หายไปตัวนึง o เกินมา 2 ตัว แต่นั่นเป็นจุดเล็กๆ เมื่อเทียบกับการที่ครั้งหนึ่ง นิตยสารเราลงนามสุกลคนผิด

เราชาวปรู๊ฟเจอต้นฉบับปรู๊ฟแรก ปรู๊ฟสอง ที่ชื่อ-นามสกุลคนผิดบ่อยๆ ถ้าเป็นคนที่เป็นที่รู้จักเราแก้ไขให้ได้ทันที แต่ถ้าเป็นใครจากไหนไม่รู้ แล้วคนเขียนเขียนมาเหมือนกันตลอดทั้งเรื่องใครจะไปคิดว่าผิด (ที่เขียนมาเหมือนกันเพราะคลิ๊กก๊อบปี้+เพลส พอคำที่พิมพ์ครั้งแรกผิดทุกคำก็ผิดหมด)

แต่เมื่อหนังสือออกมา แทนที่ผู้ใหญ่จะถามหาว่าใครเขียนกลับถามว่าใครปรู๊ฟ ตำหนิว่าปรู๊ฟไม่มีเซ้นส์ สงสัยอะไรแทนที่จะถาม อ้าว…ก็ไม่สงสัยนี่หว่า เล่นเขียนมาเหมือนกันทั้งเรื่องแบบนั้นใครจะคิดล่ะว่าผิด สมมุติสัมภาษณ์ ชนากิตติ์ ป้าขายกล้วยแขก คนปรู๊ฟไม่มีทางรู้หรอกว่าเขียนอย่างนี้ แล้วถ้าคนเขียน เขียน ชนากิจ ชนากิจ ชนากิจ มาทั้งเรื่องใครมันจะสงสัยฟระ (มีกองฯอีกพวกเขียนมาให้ปรู๊ฟไปสืบเอาเองว่าชื่อไหนจะถูก ชนากิต ชนากิตติ ชนากิตติ์ อะไรแบบนี้)

คำแรงๆ อย่างปรู๊ฟไม่มีเซ้นส์ ทำงานชุ่ย โง่ งานง่ายๆ ไม่ต้องใช้สมองยังทำพลาด ถามหน่อยว่าถ้าคนทำหน้าที่อ่านทำงานชุ่ย โง่ ไร้สมอง แล้วคนเขียน ที่เขียนแนะนำหนังสือ หนัง ซีดี ที่มีปกหนังสือ ปกซีดีในมือแต่พิมพ์มาผิดๆ เรียกว่าอะไร คนที่ไปสัมภาษณ์คนมาแล้วเขียนชื่อเขาผิดเรียกว่าอะไร คนที่พิมพ์ต้นฉบับตามใจตัวเอง ใช้ภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่มั่งเล็กมั่งตามสะดวกมือล่ะ คนที่ใช้เลขไทย ไม่ใช่เพราะรักความเป็นไทยแต่เพราะใช้โน้ตบุ๊คพิมพ์แล้วขี้เกียจกดเปลี่ยนภาษาเพื่อใช้เลขอารบิคปล่อยให้คนปรู๊ฟตามแก้ล่ะ เรียกว่าอะไร คนที่ลอกข่าวพีอาร์ยังลอกผิดล่ะ

ความเซ็งวันศุกร์ไม่ทันหายความเศร้าวันเสาร์ก็เข้ามาแทรก เมื่อฉันไปงานมหกรรมหนังสือฯและได้นิตยสารเรื่องสั้นที่นักอ่านนักเขียนรอคอยมากที่สุดมาครอบครอง ฉันสะดุดกับเรื่องหนึ่ง ด้วยอารมณ์ติดพันจากวันวาน พออ่านคำนำเสนอเรื่องนั้นฉันถึงกับนั่งซึมไปพักใหญ่

…การต่อสู้ระหว่าง ‘บรรณาธิการ’ กับ ‘พนักงานตรวจปรู๊ฟ’ ผู้รักษามาตรฐานแบบยอมหักไม่ยอมงอ…

ข้อความสั้นๆ ที่คนอื่นอ่านแล้วอาจไม่รู้สึกอะไร กลับตอกย้ำความรู้สึกของฉันในอารมณ์นั้นว่า
ปรู๊ฟ = อาจารย์ฝ่ายปกครองของคนทำหนังสือคร่ำครึ ยึดติดกับอะไรเก่าๆ ไม่ทันโลก
ปรู๊ฟ = พวกดีแต่กอดตำรา ยกกฎเกณฑ์มาอ้าง ไร้ความสามารถที่จะสร้างสรรค์ถ้อยคำด้วยตนเอง ปฏิเสธการสร้างคำใหม่ๆ
ปรู๊ฟ = วายร้ายแห่งวงการวรรณกรรม ผู้ฉุดรั้งความเจริญก้าวหน้าทางภาษา

ต่อเมื่อสงบจิตสงบใจตั้งสติอ่านจนจบ ฉันจึงค่อยชำขื่น ไปกับมันได้

คนตรวจปรู๊ฟมีหลายแบบ ไม่ต่างจากอาชีพอื่นหรอก คนที่ยึดติดกฎเกณฑ์มากๆ ก็มี คนที่ไม่ยอมงออย่างที่ว่านั่นก็หลาย คนที่ย่ำอยู่กับที่ไม่เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ก็เยอะ และปรู๊ฟที่ภาษาไม่แตกล่ะ…เหลือเชื่อแต่มีจริง ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วแรงบันดาลใจของคนเขียนเนื่องมาจากขัดใจการบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานหรือขัดใจปรู๊ฟ

แต่ฉันเป็นปรู๊ฟคนหนึ่งที่ขัดใจราชบัณฑิตฯ ฉันเคยโพสต์ในเว็บไซต์ไทยไรเตอร์ว่า “ขัดใจ ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่แอบแหกกฎ” อย่างชื่อเมือง สตุ๊ตการ์ท ถ้าใช้ตามศัพท์บัญญัติคือ ชตุทท์การ์ท ซึ่งถ้าใช้อย่างนี้คนอ่านคงต้องนึกนานหน่อยว่าที่ไหนกัน เวลามีคนมาถามเรื่องการสะกดคำฉันจะถามกลับเสมอกว่าจะใช้ตามราชบัณฑิตฯหรือเอาอย่างที่คนทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจ

แถลงการณ์ราชบัณฑิตยสถาน เรื่อง กำหนดชื่อทวีป ประเทศ เมืองหลวง มหาสมุทร ทะเล และเกาะ ระบุว่า

๒. เขียนตามที่ไทยเคยออกเสียงกันจนเป็นที่เข้าใจดีแล้ว โดยไม่คำนึงว่าจะออกเสียงตรงตามภาษาเดิมของเขาหรือไม่

แล้วกรณี ชตุทท์การ์ท-สตุ๊ตการ์ท อินดีแอนา-อินเดียน่า ล่ะ คนไทยคุ้นกับการออกเสียงแบบไหน

ฉันยังมีปัญหาคาใจกับหลายๆ คำในพจนานุกรม
ทำไม เซนติเมตร ไม่มีไม้ไต่คู้ แต่พอคำย่อ เซ็นต์ กลับต้องใช้
ทำไม ฟังก์ชัน ไม่มีไม้เอก แต่คำอื่นๆ ที่ลงท้าย ชั่น จึงมี
ทำไม คำว่า ก๊อบปี้ ใช้ ก๊อบ บ ใบไม้
ทำไม ทำไม และทำไมกับอีกหลายๆ คำ

หากฉันจะจบเรื่องนี้อย่างนางเอ๊กนางเอก ว่ายังไงฉันก็ภาคภูมิใจในสิ่งที่ฉันทำ มันพิมพ์ไม่ยากหรอก แต่ฉันเกลียดการโกหก ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือคนอื่น ฉันรู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนกวาดถนน แน่นอนอาชีพสุจริต คนทำอาชีพสุจริตมีสิ่งใดน่าละอาย แต่เมื่อพูดถึงคนกวาดถนนย่อมมีทั้งคนที่มองอย่างขอบคุณที่ช่วยให้บ้านเมืองสะอาดขึ้น และคนมองว่าต่ำต้อยด้อยค่า

ถนนสายวรรณกรรมไม่ต่างจากถนนหนทางที่เราใช้สัญจร ถ้าไม่มีคนกวาดจะสะอาดได้หรือ
ได้, ถ้าไม่มีคนประเภทอยากทิ้งตรงไหนก็ทิ้ง พวกที่คิดว่าทิ้งๆ ไว้ เดี๋ยวก็มีคนมากวาด คนมีหน้าที่กวาดก็กวาดไปอย่าบ่น
ได้, ถ้าทุกคนรักษาความสะอาด แต่แน่ใจนะว่าจะไม่มีใครเผลอทำตั๋วรถเมล์ หรือเปลือกท็อฟฟี่หล่นจากกระเป๋า

และถึงมีคนคอยกวาด ก็ไม่มีคนกวาดถนนคนไหนที่จะกวาดได้สะอาดหมดจดจนถนนทั้งสายไม่มีเศษขยะสักชิ้น ผงฝุ่นสักเม็ด

มีคนกวาดถนนคนไหนพูดได้บ้างว่า ภูมิใจที่ได้เป็นคนกวาดถนน และไม่ว่าใครจะดูถูกยังไงก็ไม่ทำให้ความภาคภูมิใจในตนเองของเขาลดลงได้

ถ้ามีขอคารวะ…เพราะฉันยังทำใจให้แกร่งขนาดนั้นไม่ได้

……………………………….
จากดวงใจสะบักสะบอม
21 ตุลาคม 2550

17 Responses to คนกวาดถนนสายวรรณกรรม

  1. สายน้ำพระจันทร์ พูดว่า:

    อืมมมมมมมมมมมมม .. (ไม่ได้ตั้งใจใช้ภาษาผิดนะ)
    อ่านแล้วหนัก กบาล แทนอ่ะชนา .. มาแรงๆๆ

    ต้นหญ้าใครๆก็มองว่าต่ำต้อย
    แต่มันก็สูงกว่าภูเขา

    ป่าถ้ามีไม้ใหญ่เพียงต้นเดียว
    จะเรียกว่าป่า ได้หรือ

    ต้นไม้จะเติบใหญ่ มีแค่กิ่งใบ
    ไร้ราก จะหยัดยืนได้ไหม

    ทุกสิ่งอย่างล้วนประกอบด้วย ส่วนเล็กๆ
    ที่ต่างมีหน้าที่แตกต่างกันไป

    คนกวาดถนนมีคุณค่า เพราะว่าบางที ..
    ..มีคนไร้คุณค่า “ทิ้งขยะ” บนถนนไม่ว่าจะสายวรรณกรรม หรือสายไหน

    คนที่ชอบดูถูกคนอื่น บางทีอาจจะเพราะตัวเองต่ำต้อย
    จึงต้องพยายามสร้างค่าให้ตัวเองว่าสูงส่ง
    ไม่อย่างนั้น ตำนาน กิ้งก่าได้ทอง คงไม่เกิดขึ้น .. (เกี่ยวไหม)

    มีดคมเพราะถูกลับถูกฝน .. คำคนจะทำให้เราแกร่ง
    นะชนา นะ

    คุณค่าอยู่ที่ความตั้งใจดี
    ใครเอาขี้ปาใส่อย่าไปรับ ….

  2. ศรีประภา พูดว่า:

    ได้รู้และได้ความรู้ในสายงานของ น้องชนา มากทีเดียวค่ะ…

    ภาวะกดดันด้วยความรู้สึกอึดอัด เหนื่อย เศร้า เครียด โกรธท้อถอย..เช่นนี้ ก็เคยเกิดมีขึ้นกับตัวเองอยู่บ่อย(แม้ต่างอาชีพ)
    มุมมองที่ต่าง บุคคลที่แตกต่าง หรือผู้มีอำนาจ ที่หลงอำนาจ…อีกมากมายที่เราควบคุมไม่ได้…
    ตัวเองจะใช้วิธีปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป …(ซึ่งอาจไม่ใช่วิธีที่ดี)
    ยังคงเป็นตนเองที่มั่นคงและมั่นใจในแนวทางของตนเองอยู่

    แต่จะสำเหนียก…ดูตัวบุคคลที่พูดน่ะค่ะ
    หากบุคคลที่พูดเป็นคนที่เราเชื่อถือศรัทธา จะฟังและพิจารณา
    ใคร่ครวญ แต่หากผู้พูดนั้นเป็นอะไรที่ตรงข้าม ไม่เป็นที่เชื่อถืออยู่แล้ว เสียงนั้นๆจะไร้ความหมาย ไม่มีผลใดต่อตนเองแม้
    เสียงนั้นจะเป็นเสียงชื่นชมก็ตาม..

    เชื่อว่าเวลาจะทำให้น้องชนาดีขึ้นและแข็งแกร่งค่ะ

    ยิ้มนะคะ…

    โพสต์ที่แล้ว…เห็นน้องชนาวิ่งไปรับคุณสายน้ำพระจันทร์
    ร้องไห้แงแงงงงงงงงงงงง… ความด้วยดีใจสุดๆ
    ชื่นชมในมิตรภาพนี่จัง
    กำลังใจมาแล้วนะคะ …น้องชนาไหวอยู่แล้ว!

  3. chanakith พูดว่า:

    ^
    เพราะได้ป้าสายฯ คอยโอ๋ทุกทีไงคะเลยรีบวิ่งไปรับ อิอิ
    ได้คุณศรีประภามาร่วมรับรู้ความในใจอีกคน ยิ่งดีใจใหญ่ เพราะปกติไม่รู้จะบ่นให้ใครฟัง

    กว่าจะเป็นหนังสือสักเล่มผ่านขั้นตอนมากมาย คงจะดีถ้าใครสักคนหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วไม่ได้คิดถึงแค่คนเขียนกับบ.ก.
    และก็ไม่ใช่แค่ปรู๊ฟ ยังมี ฝ่ายศิลป์ คนทำเพลท ช่างพิมพ์ ช่างตัด คนเก็บเล่ม ไสกาว แมสเซ็นเจอร์ สายส่ง ฯลฯ
    นับเองยังนับไม่หมดเลยแฮะว่าหนังสือ 1 เล่ม ผ่านมือใครบ้าง มิน่าล่ะคนจะนึกถึงเราต่อเมื่อพบคำผิดในหนังสือเท่านั้น เฮ้ออออออ

    ยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างค่ะ
    ไม่เข้าใจทั้งคนที่ชอบเหยียบย่ำจิตใจคนอื่น
    ไม่เข้าใจคนที่มองปัญหาที่ปลายเหตุ ฉาบฉวยด่วนสรุป
    และยิ่งไม่เข้าใจคนที่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยไม่แม้แต่จะปริปากบ่น (แต่ก็ชื่นชมในความอดทน)
    อาจเพราะบางครั้งบางเรื่องที่เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ การปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปอย่างที่คุณศรีประภาบอกเป็นทางออกที่ดีค่ะ

    สู้ไหวค่ะ ยังไหวอยู่ ถึงจะไกวๆ แกว่งๆ ไปบ้าง พี่ๆ ไม่ต้องห่วง ยัง (พอจะ) ยิ้มได้ ค่ะ

  4. สายน้ำพระจันทร์ พูดว่า:

    ไม่อยากบอกว่า เวลาดูหนังสือ
    ดูหมดตั้งแต่ผู้ก่อตั้ง บ.ก. ทีมงาน ที่พิมพ์
    จะได้ดูไว้เวลาหนังสือดี ไม่ดีเนี่ย มีใครร่วมบ้าง
    บางเล่มเห็นชื่อเจ้าของแล้วไม่หยิบอ่านเลย …

    โลกนี้มันมีอะไรที่เข้าใจยากอีกเยอะ เนอะชนา
    แต่ที่เข้าใจได้อย่างหนึ่งคือ ความเป็นคน ที่ย่อมหลากหลาย
    ดี ไม่ดี ถ้าเรามองด้วยความเห็นใจ .. ว่าเขาก็เป็นอย่างนั้น
    จะได้ไม่หนักสมอง .. เนอะ
    ได้ยินได้ฟัง แล้วเราก็ไตร่ตรอง ว่าจริงๆมันเป็นยังไง
    ถ้ามันใช่อย่างที่เขาว่าเราก็ปรับปรุง
    ถ้ามันไม่ใช่ เราก็ตั้งใจทำหน้าที่ของเราต่อไป .. ไม่ต้องใส่ใจ
    โลกนี้มีใครสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง

    คนที่เข้าใจเรายังมี จริงไหมคะ คุณศรีประภา ..

  5. น้ำพี้ พูดว่า:

    น้องชานาน่าเคยได้ยินเรื่องอวัยวะในร่างกายทะเลาะกันไหมคะ ทุกส่วนต่างอวดอ้างว่าตัวเองสำคัญที่สุด แต่เมื่อขาดส่วนใดส่วนหนี่ง ร่างกายก็มีปัญหา

    ในการงานทุก ๆ ตำแหน่งมีความสำคัญ เขาไม่รู้ไม่เห็นไม่เป็นไร เขาตา (ใจ?) บอด เรารู้เองแล้วกันว่าสิ่งที่เราทำมีคุณค่าแค่ไหน อย่างพี่เองเป็นคน (หัด)เขียนที่มีปัญหากับการเขียนคำมาก ๆ สะกดไม่ถูกต้อง หรือ ตกหล่นเป็นประจำ หลายครั้งที่ Post ไปแล้วโดนดำหนิ พี่ยังคิดเลยว่าหากมีใครสักคนช่วยเติมในสิ่งที่เราขาด ผลงานเราจะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้

    และนั่นคือคุณค่าของงานน้องชนา ที่มีต่อหนังสือแต่ละเล่มที่ออกไปวางแผง

    อ้อ…มีอีกเรื่องจะเล่าให้ฟัง สมัยตอนเด็กคุณครูให้เขียนตามคำบอก แล้วมีคำหนึ่งที่คุณครูเฉลย แล้วบอกว่าพี่เขียนผิด วันรุ่งขึ้นพี่เอาหลักฐานไปแสดง สิ่งนั้นคือหนังสือนิทานสำหรับเด็กเล่มหนึ่ง เพื่อยืนยันว่าตัวเองเขียนถูก (แต่จริง ๆ หนังสือพิมพ์ผิด) เถียงกับคุณครูตั้งนาน

    เห็นมั้ยน้องชนา ความถูกต้องในหนังสือมีอิทธิพลต่อคนอ่านแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็ก ๆ

    คนอื่นมองเราอย่างไร ไม่เท่ากับเรามองตัวเองเนอะ น้องชนา

    เป็นกำลังใจให้สู้ ๆ ๆ ๆ จ้ะ

    พี่ ‘ พี้

  6. สายน้ำพระจันทร์ พูดว่า:

    ปาดเหงื่อ แห้ง ยังชนา …

  7. chanakith พูดว่า:

    ตอนนี้ใจเย็นลงได้นิดนึงแล้วค่ะป้าสาย
    แต่ก็ยังไม่รู้จะทำไงอยู่ดึ

    ขอบคุณพี่ๆ ที่น่ารักทุกคนค่ะ
    จุ๊บๆ

  8. สายน้ำพระจันทร์ พูดว่า:

    คิดตก ยังชนา
    ถ้าคิดไม่ตก ลองทบทวน บทที่หนึ่งใหม่

    หาจุดประสงค์บทที่สอง

    คำนวณหาบทสุดท้าย

    คิดสูตรไหน ก็มากกว่า .. ศูนย์ ..
    เพราะชีวิตเกิดมา ได้แค่นี้ ก็กำไรแล้ว .. จริงไหม

    5555 งงไหม
    เนี่ย ชวนให้ยิ่ง คิดไม่ตกเลย

  9. chanakith พูดว่า:

    ชีวิต…คิดยังไงก็ไม่ขาดทุนเนอะป้าสายฯ

    ตัดสินใจได้แล้วค่ะ ตอนนี้อยู่ที่ว่าจะเริ่มเมื่อไหร่เท่านั้น
    ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดไว้ก็คงดี

  10. ศรีประภา พูดว่า:

    น้องชนาคะ…

    “สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ”
    เคยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว(โดยส่วนตัว)ชอบคำนี้จังเลยค่ะ เมื่อนึกถึงคำนี้รู้สึกเหมือนความอึดอัดกดดันจากปัญหาดูเบาลง

    จริงๆแล้วชอบคำว่า” คนกวาดถนนสายวรรณกรรม ” ของน้องชนามากนะคะ เด็กๆเคยฝันอยากอยู่ในแวดวงคนเขียนหนังสือ ตอนเล็กๆเคยวิ่งเล่นแถวโรงพิมพ์อยู่บ่อย วิ่งตามดูพ่อทำข่าว นั่งรถส่งหนังสือพิมพ์จากกรุงเทพไปต่างจังหวัด กลิ่นหมึกยังไม่จางในความรู้สึกจนวันนี้ แต่ความเป็นไปของชีวิตไม่เป็นดังฝัน
    และมันเป็นเรื่องกาลครั้งหนึ่งนานนนนนนนนนนนนน……..มาแล้ว

    ดีใจมากที่ได้รู้จักคนทำหนังสือ แม้จะบอกว่าเป็น” คนกวาดถนนสายวรรณกรรม “ก็ตาม

    อ่านหนังสือทุกครั้งให้คิดถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด…ซึ่งล้วนสำคัญเสมอ

    จะใช้เวลาที่เบาจากงานตามเก็บอ่านงานเขียนของน้องชนา และ คุณสายน้ำพระจันทร์นะคะ

  11. chanakith พูดว่า:

    ^

    ยินดีค่ะคุณศรีประภา
    อ่านได้ วิจารณ์ได้ ติได้เต็มที่เลยค่ะ

    ^___^

  12. ตี๋ พูดว่า:

    แหะๆ เพิ่งจะมาตระหนักถึงความดีของการปรู๊ฟ ก็ตอนที่ไปปล่อยไก่ที่บล็อกพี่น้ำพี้นี่แหละ อายยจังครับ ทำไงดี

  13. chanakith พูดว่า:

    ^
    อิอิ
    5555 5555 5555

    หุหุ…ยังขำอยู่เลย

  14. น้ำพี้ พูดว่า:

    คามมาช่วยน้องชนาขำ

    ยังดีนะที่พิมพ์

    “ช่วงนี้ตระเวนเที่ยวไปทั่วครับ” ไม่ผิด 5555555

  15. สายน้ำพระจันทร์ พูดว่า:

    ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันต้องเป็นเนอะชนา
    เรื่องบางเรื่อง เราตัดสินใจตามเหตุ ปัจจัย ของ ณ เวลานั้น
    ตรองที่มา ที่ไป เท่าที่เห็น ที่รู้
    ถ้าวันหน้ามันจะแปรเปลี่ยนไปจากที่คิด ที่หวัง มากน้อยหรือไม่ก็ตาม
    ก็คงต้องถือว่า เรากำหนดไม่ได้จริงๆ .. อย่าไปกลัวน๊า

    ขอบคุณคุณศรีประภานะคะ ที่จะคอยตามอ่าน
    แต่ไม่ใช่คนถนัดเขียนเท่าไหร่
    เลยนานๆจะเขียนออก
    ต้องน้องชนา เขาถนัดเล่า ได้เก่ง
    น้าน้ำพี้ ก็กลั่นความคิด เป็นอักษรได้ดี
    น้องตี๋ ก็แต่งกลอน เพราะ .. แต่ช่วงนี้คงเที่ยวบ่อยเลยไม่ได้อ่าน

    ไม่ต้องอายหรอกน้องตี๋ .. ของมันผิดกันได้
    เคยอ่านผิดมากกว่านี้อีก

    แต่น้าน้ำพี้มาทำให้ ขำก๊ากกกกกกกก
    ตอนที่มาย้ำ ข้างบนนั่นล่ะ .. ครื้นเครงดี

  16. ศรีประภา พูดว่า:

    ตามเสียงขำของน้องชนามาค่ะ…คนอะไรขำได้น่ารักจริงๆ
    เข้าถึงอารมณ์ขำเต็มๆ…มุขน้องตี๋ทำให้บล็อกครื้นเครงดีจัง

    “น้ำพี้”ว่า——-ยังดีนะที่พิมพ์
    “ช่วงนี้ตระเวนเที่ยวไปทั่วครับ” ไม่ผิด 5555555——

    ข้อความนี้…ตัวเองต้องสะดุ้งร้องจ๊ากกกกกกกกกกก…
    เพราะศรีประภาพิมพ์เป็นตระเวณน่ะ ผิดเห็นๆเลย
    แหะ..แหะ…ผิดเป็นครูเนอะ”น้ำพี้”เนอะ

    ชักเริ่มเกร็งแล้วสิ!อยู่กับคนตรวจปรู๊ฟ น้องชนาคะเวลาผิดพลาด
    ขำได้นะ…แต่อย่าดุนะคะ

    ฮื่อ…วันนี้ดีจังมียิ้มมีหัวเราะ
    ทุกคน…น่ารัก

  17. chanakith พูดว่า:

    หูยยยย คุณศรีประภา ไม่ต้องเกร็งค่ะ ไม่ดุๆ
    รับรอง

ใส่ความเห็น