ตามหาเพื่อน

สิงหาคม 26, 2008

เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นเมื่อเกือบ ๒๐ ปีก่อน
ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ เวลาขณะนั้นเย็นค่ำ ประกอบกับอยู่ในช่วงฤดูหนาว ความมืดจึงเข้าปกคลุมเร็วกว่าปกติ อาจารย์นาตยา อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ตรวจโครงงานของนักเรียนเพลิน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าบริเวณโรงเรียนเงียบสงัดไร้ผู้คน
อาจารย์เดินลงจากชั้น ๓ ซึ่งเป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์ และเมื่อเธอเดินออกนอกโรงเรียนก็เห็นเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งยืนอยู่

“มืดค่ำป่านนี้ยังไม่กลับบ้านอีก เด็กห้องไหนนะ” อาจารย์นึกในใจก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้น เมื่อเข้าไปใกล้จึงพบว่าเป็นเด็กนักเรียนในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ของเธอเอง
“สุวิทย์…ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก เถลไถลอย่างนี้พ่อแม่เป็นห่วงรู้มั้ย เดี๋ยวก็ตัดคะแนนจิตพิสัยซะเลยนี่” ถึงจะขู่ว่าจะตัดคะแนนแต่ก็ด้วยความเป็นห่วง
“ผมตามหาชาตรีอยู่ครับ เมื่อตอนเย็นเราไปเตะบอลกัน แล้วก็กะจะไปหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้าน แต่อยู่ดีๆ เขาก็หายไปไหนไม่รู้ครับ” เด็กชายตอบคำถามครูด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“อ้าว…อยู่ด้วยกันแล้วหายไปไหนไม่รู้ได้ยังไง อย่ามาหลอกครูเลย ป่านนี้เขากลับบ้านไปแล้วมั้ง เธอก็เหมือนกันกลับได้แล้ว” ครูสาวขมวดคิ้วด้วนความสงสัย

เด็กทั้งสองไปไหนด้วยกันเสมอจนใครๆ เรียกพวกเขาว่า “ลิงแฝด” ไม่น่าที่ใครคนใดคนหนึ่งจะทิ้งเพื่อนไปโดยไม่บอกกล่าว แต่ก็นั่นแหละอาจเป็นการเล่นแผลงๆ หลอกให้เพื่อนตามหาก็ได้ จะเอาอะไรกับเด็กวัยคะนองครูสาวคิดในใจ
“เขาหายไปไหนไม่รู้จริงๆ นะครับครู” เด็กชายสุวิทย์ยืนยันสีหน้าจริงจัง
“เอาอย่างนี้เธอกลับบ้านไปก่อน เดี๋ยวครูจะแวะดูที่บ้านชาตรีให้” อาจารย์นาตยาจำได้ว่าบ้านของเด็กชายชาตรีนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านเธอ ด้วยความเป็นครูที่เป็นครูจริงๆ ยังไงก็อดห่วงลูกศิษย์ไม่ได้ แม้นอกเวลางาน หมดเวลาสอน ความห่วงใยนั้นก็ไม่ได้หมดลงไปตามหน้าที่เลย

สมัยนั้นโทรศัพท์ยังเป็นของหายาก แม้ในอำเภอใหญ่ของจังหวัดสมุทรปราการอย่างพระประแดงที่อยู่ติดกับกรุงเทพฯแค่คืบ ยังมีตู้โทรศัพท์สาธารณะเพียงไม่กี่ตู้ ไม่ต้องพูดถึงโทรศัพท์ตามบ้านเรือน น้อยนักที่จะมี ใครคิดถึงใครอยากเจออยากคุยกับใครก็ต้องไปหากันที่บ้านนั่นแหละ อยู่ไกลนักธุระไม่ด่วนก็ส่งจดหมายเอา ถ้าด่วนก็โน่นไปที่ทำการไปรษณีย์ส่งโทรเลข กว่าจะถึงก็สองสามวัน ไม่มีอะไรด่วนได้ดังใจนึกแล้วเอานิ้วจิ้มอย่างปัจจุบัน…นี่ละมั้งเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กสมัยนี้ใจร้อน รออะไรไม่เป็น

“ผมไปมาแล้วครับแต่ไม่เจอใคร”
อาจารย์สาวคิดว่าลูกศิษย์อีกคนคงไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็กวัยรุ่น หรือไม่ก็กลับบ้านไปแล้ว
“เธอกลับบ้านไปก่อนเถอะ เพื่อนหายเธอยังห่วงยังตามหา ป่านนี้พ่อแม่เธอก็คงหาเธอให้วุ่นแล้วล่ะ”
…………………………………………..

เช้าวันต่อมา เมื่ออาจารย์นาตยามาถึงโรงเรียนก็เป็นเวลาที่เด็กๆ กำลังเข้าแถวเพื่อเคารพธงชาติ เธอพบเด็กชายสุวิทย์ยืนอยู่หน้าโรงเรียน
“ทำไมไม่รีบไปเข้าแถวกับเพื่อนๆ”
“ผมเข้าไม่ได้ครับ”
“อ๊ะ…รู้จักกลัวอาจารย์ฝ่ายปกครองด้วยหรอ นี่ยังไม่สายเท่าไหร่เข้าไปได้ มา…ตามครูมา”
อาจารย์เดินนำลูกศิษย์เข้าไปในโรงเรียน
“อ้อ…เจอกับชาตรีหรือยัง เมื่อวานครูแวะไปที่บ้านเขา เขาก็อยู่ที่บ้านนั่นแหละ เขายังบอกครูเลยว่าเธอต่างหากที่ไม่รู้หายไปตอนไหนเลยกลับบ้านก่อน” ครั้นพอหันหลังกลับ เธอก็ไม่พบลูกศิษย์ที่เดินตามมาเสียแล้ว
“ไปไหนซะแล้ว ไวจริงๆ”
แต่เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ทั้งสองปลอดภัยดี ทั้งยังมาโรงเรียนได้ตามปกติอาจารย์นาตยาก็หายห่วง

ชั่วโมงวิทยาศาสตร์ของเด็กมัธยมต้นนั้นมีสัปดาห์ละ ๔ คาบ แบ่งเป็น ๒ ครั้ง ครั้งละ ๒ คาบ ใน ๑ สัปดาห์ อาจารย์นาตยาจึงได้เข้าสอนในห้อง ม. ๒/๔ ซึ่งเป็นห้องที่เด็กชายสุวิทย์และเด็กชายชาตรีเรียนอยู่เพียง ๒ วัน คือวันจันทร์และวันพฤหัสบดี
๒ วันที่ผ่านมา อาจารย์นาตยาไม่ได้พูดคุยกับเด็กทั้งสองเลย เนื่องจากจะมีการตรวจประเมินผลโรงเรียนทำให้บรรดาครูต้องมีงานเพิ่ม อาจารย์นาตยาเองก็ง่วนอยู่กับการเตรียมนำเสนอผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ จนลืมสังเกตไปว่า “ลิงแฝด” ของเธอไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเหมือนแต่ก่อน เธอเห็นเด็กชายชาตรีอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่โรงอาหารแต่ไม่ได้เอะใจว่าเด็กชายสุวิทย์ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น

ชั่วโมงวิทยาศาสตร์ในเช้าวันพฤหัสฯ เมื่อเธอขานชื่อเด็กๆ ในห้องก็พบว่า เด็กชายสุวิทย์ไม่มาโรงเรียน
“สุวิทย์ไม่มาโรงเรียน ๒ วันแล้วค่ะ สงสัยจะไม่สบาย” เด็กหญิงธิดารัตน์หัวหน้าชั้นรายงาน
“เอ๋…เช้าวันอังคารครูเจอเขาหน้าโรงเรียนนะ ยังบอกให้รีบไปเข้าแถวเลย”
“ไม่มาครับ เขาหยุดไป ๒ วัน อังคาร พุธ เย็นนี้ผมกะจะไปหาเขาที่บ้านครับ จะได้จดการบ้านไปให้เขาด้วย” เด็กชายชาตรีบอกครู

เมื่อหมดชั่วโมงเรียน อาจารย์นาตยาเรียกเด็กชายชาตรีให้รออยู่ก่อน โดยบอกว่า จะฝากสมุดการบ้านของเด็กชายสุวิทย์ที่ตรวจเสร็จแล้ว ให้เด็กชายชาตรีช่วยเอาไปให้เพื่อนที่บ้าน เธอก็นึกเป็นห่วงเด็กชายสุวิทย์ขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกห่วงกังวลอย่างบอกไม่ถูก
อาจาย์นาตยามั่นใจว่าเมื่อวาน…เย็นวันพุธเธอเห็นเด็กชายสุวิทย์ยืนอยู่ที่รั้วโรงเรียน เธอยังคิดว่าเขารอกลับบ้านพร้อมเด็กชายชาตรี แล้วเช้าวันอังคารที่เธอเจอเขาอีกนั่นล่ะ แต่เขาไม่เข้าเรียนมา ๒ วัน รวมวันนี้ก็เป็นวันที่ ๓ แล้ว แต่งชุดนักเรียนแต่ไม่เข้าโรงเรียนไปมั่วสุมเกเรที่ไหน ตามไปดูที่บ้านหน่อยดีกว่า เผื่อเด็กมีปัญหาอะไรจะได้รีบแก้
“เย็นนี้รอครูนะ เดี๋ยวครูไปด้วย” ครูสาวบอกลูกศิษย์
…………………………………………..

ทั้งครูและศิษย์ไปถึงบ้านของเด็กชายสุวิทย์ในตอนเย็น ประตูบ้านปิดเงียบ เด็กชายชาตรีทั้งเขย่าประตูและตะโกนเรียกก็ไม่มีเสียงตอบ
“ไปไหนกันหมดนะปิดบ้านเงียบเชียว” ครูสาวสงสัย
“อาจจะไปบ้านต่างจังหวัดก็ได้ครับ ชาตรีบอกว่ายายเขาไม่ค่อยสบาย” เด็กชายสุวิทย์เล่า
“อย่างนั้นหรอ…แต่…” อาจารย์นาตยาพยายามปะติดปะต่อเรื่อง
เป็นไปได้มั้ยที่หลังจากเจอสุวิทย์ที่หน้าโรงเรียนเมื่อเช้าวันอังคารนั้น ผู้ปกครองของเขาก็มาตามตัวกลับบ้านก่อนที่จะเข้าโรงเรียน เพราะต้องไปเยี่ยมคุณยายกะทันหัน ส่วนที่เธอเห็นเมื่อวานอาจเป็นนักเรียนคนอื่นที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน
“ถ้างั้นเรากลับกันเถอะ” อาจารย์ชวนลูกศิษย์กลับ

เมื่อเดินพ้นซอยออกมาเด็กชายชาตรีก็ดึงมือครูไว้แล้วชี้ไปที่ชายคนหนึ่ง
“ครูครับครู โน่นพ่อของสุวิทย์ครับ”
“สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นครูที่โรงเรียนของสุวิทย์ค่ะ” อาจารย์นาตยารีบแนะนำตัว
“คือลูกของคุณไม่ไปโรงเรียน ๓ วันแล้ว ดิฉันเกรงว่าแกจะไม่สบายเลยมาเยี่ยมน่ะค่ะ”
…………………………………………..

หญิงสาวผู้เป็นอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ไม่รู้จะหาสิ่งใดมาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ ที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้คือร่างของเด็กชายสุวิทย์นอนนิ่งสงบอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ที่แขน ลำตัวและจมูกมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ที่ศีรษะมีผ้าพันแผลพันรอบ
“ลูกชายผมถูกรถสิบล้อชนเมื่อเย็นวันจันทร์ครับ ตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาลเขาก็อยู่ในสภาพนี้มาตลอด ไม่ได้สติ ไม่ลืมตา ผมกับแม่ของเขาผลัดกันมาเฝ้าอยู่ที่นี่ เราวุ่นวายจนไม่มีเวลาไปแจ้งที่โรงเรียนต้องขอโทษด้วยนะครับ ตอนที่เจอคุณครูเมื่อกี้ผมก็จะไปเอาเสื้อผ้ามาเฝ้าลูกนี่ละครับ แม่เขาจะได้กลับไปพักบ้าง” ผู้เป็นพ่อเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ
“ตอนนี้ผมกับภรรยาก็ได้แต่ทำใจ หมอบอกว่าคงไม่มีหวัง…แค่ที่เขายังไม่ไปตอนนี้ก็นับว่าอึดมากแล้วครับ”
“หรือเขารออะไรอยู่ก็ไม่รู้…” แม่ของเด็กชายสุวิทย์รำพึงเบาๆ

ครูสาวมองไปที่ลูกศิษย์อย่างเวทนา
เด็กชายชาตรีเดินเข้าไปบีบมือเพื่อน
“สุวิทย์เรามาเยี่ยมนายนะ…นายต้องหายเร็วๆ แล้วเราไปเตะบอลกันอีก…” เด็กชายรู้สึกว่ามือนั้นบีบตอบกลับมาเบาๆ จึงรีบบอกให้ทุกคนรู้
พ่อแม่ของเขาถลาเข้าไปที่เตียง…ร่างเด็กชายที่นอนไร้ความรู้สึกกลับมีน้ำตารินไหล ก่อนที่ลมหายใจจะแผ่วลง แผ่วลง…
…………………………………………..

หลังจากงานศพของเด็กชายสุวิทย์ผ่านไป อาจารย์นาตยาได้เล่าเรื่องราวที่เธอได้พบกับเด็กชายสุวิทย์ในขณะที่ร่างของเขานอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลให้พระผู้ใหญ่ที่นับถือฟัง ท่านอธิบายว่า เด็กชายที่เธอพบ พูดคุย เป็นเพียงจิตของเด็กชายสุวิทย์ ที่เมื่อก่อนเกิดเหตุเขาตั้งใจจะไปหาเด็กชายชาตรี แล้วเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองจึงยังคงตามหาและรอคอยเพื่อน
เมื่อได้พบสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ผูกพันเขาเอาไว้ เขาจึงค่อยรู้ตัวและหลุดพ้นจากร่างไปตามทางที่เขาควรจะไปตั้งแต่เมื่อตอนถูกรถชนนั่นแล้ว
……………………………………………………

ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสาร ผี๔๘
ปีที่ 4 ฉบับที่ 83 ปักษ์แรก 1-15 กันยายน 2551