อู้งานเลยเจอดี

ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าที่บ้านของฉันจะมีสิ่งที่มองด้วยตาไม่เห็น สิ่งที่ใครไม่เจอกับตัวก็คงไม่เชื่อ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ได้ฟังจาก “พี่ศรี” คนงานดูแลบ้านของฉันจะเป็นเรื่องจริง

ปลายปี ๒๕๓๘ ปีที่ฉันเรียนจบ เป็นช่วงเดียวกับที่คุณยายของฉันล้มป่วยลง ด้วยความชรา ท่านไม่สามารถลุกขึ้นเดินไปไหนมาไหนได้ จะทำกิจวัตรใดๆ ด้วยตนเองก็ไม่ได้เลย ที่เขาเรียกกันว่าเป็นอัมพาตนั่นแหละ ฉันอยู่ในช่วงเริ่มทำงานใหม่ๆ ก็ไม่สามารถหยุดงานมาดูแลท่านได้  พ่อแม่ของฉันก็มีกิจการที่ต้องเดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพฯและราชบุรีอยู่ตลอด
ครอบครัวของเราจึงจ้างพี่ศรีมาเป็นคนดูแลคุณยายและให้ช่วยงานบ้านไปในตัว พ่อแม่ฉันจ้างพี่ศรีด้วยเงินเดือนที่เด็กจบปริญญาตรีหมาดๆ อย่างฉันอิจฉาเชียวล่ะ นั่นคงเป็นเหตุหนี่งที่ทำให้พี่ศรีปรนนิบัติคุณยายอย่างดี ชนิดที่ฉันซึ่งเป็นหลานแท้ๆ อดละอายใจไม่ได้

แล้วจู่ๆ พี่ศรีก็เอ่ยกับฉันว่า
“คุณเพียงรู้มั้ยคะว่าที่นี่เจ้าที่แรง…”
“หืมม์ พี่ศรีว่าไงนะ” ฉันถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่
“ตอนกลางวันช่วงที่ไม่มีคนอยู่ มีแต่พี่กับคุณยาย พอพี่อาบน้ำเช็ดตัวคุณยายเสร็จ ก็ขึ้นไปทำความสะอาดชั้น ๒ พี่ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาข้างล่าง ทีแรกก็นึกว่าคุณเพียง หรือคุณพ่อคุณแม่คุณกลับมา เพราะถ้าเป็นคนอื่นต้องกดออดให้พี่ไปเปิดประตูถึงเข้ามาได้ แต่พอลงมาดูก็ไม่เห็นใคร เป็นอย่างนี้หลายครั้งแล้วล่ะค่ะ”

ฉันซึ่งอยู่บ้านนี้มาตั้งแต่เด็ก และไม่เคยพบอะไรผิดปกติจึงไม่เชื่อสิ่งที่พี่ศรีเล่า
“หูฝาดละมั้ง ตอนกลางวันบ้านเงียบๆ พี่อาจได้ยินเสียงบ้านข้างๆ ก็ได้” ฉันคิดว่าคงเป็นอย่างนั้น เพราะบ้านของฉันเป็นตึกแถว บ่อยครั้งที่เวลาข้างบ้านซึ่งใช้ผนังร่วมกันส่งเสียงดังก็จะได้ยินเสียงลอดมา

“อย่าไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฉันฟังเชียว ท่านไม่ชอบเรื่องผีๆ สางๆ” ฉันเอ่ยอ้างคุณพ่อคุณแม่ส่วนหนึ่งเพราะท่านทั้งสองไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ ด้วยเห็นว่าเป็นสิ่งงมงายไร้สาระ แต่อีกส่วน ฉันไม่ค่อยอยากรับฟังเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เพราะแม้ไม่เชื่อ แต่ถ้าฟังบ่อยๆ เวลาอยู่คนเดียวตอนกลางคืนคงอดประสาทหลอนไปไม่ได้

พี่ศรีไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกจนฉันเกือบจะลืมไปแล้ว
“เอ่อ…คุณเพียงคะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์คุณเพียงหยุดงานใช่มั้ยคะ”  น้ำเสียงพี่ศรีอ้ำๆ อึ้งๆ ชอบกล ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ
“คือ…ถ้าคุณเพียงไม่ไปไหน พี่ขอลาซักครึ่งวันนะคะ”
“เอาสิ เดี๋ยวฉันดูแลคุณยายเอง” ฉันอนุญาตเพราะเห็นใจพี่ศรีที่ทำงานบ้านแทบไม่มีวันหยุด แต่ก็อดถามไม่ได้
“ว่าแต่ พี่ศรีจะไปไหนหรอ หรือว่ามีนัดกับหนุ่ม” ฉันกระเซ้าเล่นมากกว่าถามเพื่อเอาคำตอบจริงๆ จังๆ
“คือ…พี่ว่าจะไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดน่ะค่ะ” พี่ศรีตอบอย่างเกรงๆ คงเพราะฉันเคยปรามไว้ว่าไม่ให้พูดเรื่องสิ่งลี้ลับ
“มีอะไรก็เล่ามาเถอะพี่ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก หรือว่ายังได้ยินเสียงแปลกๆ อยู่อีก”

สิ่งที่พี่ศรีเล่าทำให้ฉันประหลาดใจไม่น้อย เธอบอกว่าพักหลังนี้ได้ยินเสียงคุณยายคุยอะไรพึมพำอยู่คนเดียวบ่อยๆ บางครั้งก็เห็นท่านคุยไปหัวเราะไป ทั้งๆ ที่ตั้งแต่ท่านป่วยท่านแทบจะพูดไม่ได้ อย่างมากก็ได้แต่ส่งเสียงอือๆ อาๆ บุ้ยใบ้บอกสิ่งที่ต้องการเท่านั้น
ฉันคิดว่าคงเกิดความผิดปกติกับสมองของคุณยาย ขณะที่พี่ศรีมั่นใจว่าคุณยายคุยกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่ายฉันอนุญาตให้พี่ศรีไปทำบุญ และจากนั้นฉันก็พาคุณยายไปตรวจเช็กร่างกายที่โรงพยาบาล

หลังไปถวายสังฆทานพี่ศรีก็หมั่นทำบุญตักบาตรเป็นประจำ โดยบอกว่าเพื่อความสบายใจ และการทำบุญไม่ว่าเพื่อเจ้าที่เจ้าทางผีสางเทวดาหรือเพื่อตัวเองก็เป็นสิ่งดีทั้งนั้น ซึ่งฉันก็เห็นด้วย
ส่วนผลการตรวจร่างกายของคุณยายก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เรียกว่าไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่แย่ลง แพทย์ที่ตรวจบอกว่า อาจเป็นเพราความทรงจำส่วนลึกๆ ในจิตใต้สำนึกของคุณยายทำให้ท่านพูดคุยหรือหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว

เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ พี่ศรีไม่ได้ยินเสียงแปลกๆ อีก และนานๆ ครั้งจึงได้ยินเสียงคุณยายคุยอยู่คนเดียว
จนกระทั่งวันหนึ่ง…
พี่ศรีเล่าว่า บ่ายวันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว หลังจากป้อนข้าวคุณยายแล้ว พี่ศรีรู้สึกเพลียๆ จึงตั้งใจจะงีบหลับสักพักก่อนที่จะทำงานบ้านต่อ พี่ศรีจึงฟุบหลับข้างๆ ตะกร้าผ้าที่เตรียมจะรีดนั่นเอง
ขณะที่หลับไปพี่ศรีฝันว่า มีชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ มายืนใกล้ๆ เขาเตะตะกร้าผ้าจนล้ม แล้วพูดเสียงดังว่า
“เฮ้ย…ตื่นๆ ไปดูแม่นงค์โน่น ลูกหลานเขาจ้างมึงมาดูแลคนแก่ นี่อะไรแอบมาหลับ ปล่อยให้เขานอนจมขี้จมเยี่ยวอยู่นั่น…กูรู้ว่ามึงเหนื่อย แต่ก็ช่วยดูแลเขาดีๆ หน่อย เวลาของเขาเหลืออีกไม่นานนักหรอก ถ้ามึงดูแลเขาดีๆ อีกหน่อยมึงจะสบายไม่ต้องมาเป็นขี้ข้าใครเขา แต่ถ้ามึงทำให้เขาลำบากกูไม่ปล่อยมึงไว้แน่”
พอพี่ศรีสะดุ้งตื่นขึ้นก็เห็นว่าตะกร้าผ้าล้มลง ผ้าในตะกร้ากระจัดกระจาย และเมื่อไปดูคุณยาย ก็พบว่าคุณยายขับถ่ายออกมาโดยไม่รู้ตัวนอนจมอยู่กับกองอุจจาระ ปัสสาวะตามที่ฝันจริงๆ

หลังจากนั้นไม่กี่เดือนคุณยายก็จากไปอย่างสงบ หลังจากงานศพคุณยาย คุณแม่ของฉันก็ตั้งหิ้งบูชารูปคุณยายโดยนำรูปคุณตาจากบ้านที่ราชบุรีมาตั้งไว้เคียงคู่กัน พอพี่ศรีเห็นรูปคุณตาก็ถึงกับเข่าอ่อน และบอกว่าคนในรูปนี้แหละที่มาเข้าฝัน พี่ศรีปะติดปะต่อเรื่องราวว่าคงเป็นคุณตาที่คอยมาวนเวียน พูดคุย และอยู่ใกล้ๆ คุณยายด้วยความรักและเป็นห่วง

ส่วนเรื่องที่วิญญาณคุณตาบอกว่า ถ้าพี่ศรีดูแลคุณยายดีๆ จะสบายไม่ต้องเป็นลูกจ้างรับใช้ใครอีกนั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะตอนนี้พี่ศรีกลายเป็นคุณศรี เจ้าของร้านอาหารทะเลชื่อดังย่านบางขุนเทียนไปแล้ว
…………………………………………………
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสาร ประสบการณ์ของคนเห็นผี
ปีที่ 3 ฉบับที่ 26
ตุลาคม 2551

ใส่ความเห็น