ประตูหน้าบ้าน

มิถุนายน 22, 2008

ผมเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด เติบโตและเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลยันจบมหาวิทยาลัยก็ในกรุงเทพฯ เมืองแห่งความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อยู่กับตึกสูงระฟ้า และแสงสี นั่นทำให้ผมไม่เชื่อเรื่องลึกลับใดๆ ที่ตามองไม่เห็น หรือเรียกง่ายๆ ว่าไม่กลัวผีนั่นและครับ ผมเลือกเรียนทางด้านประวัติศาสตร์ เพราะอยากเรียนรู้อะไรเก่าๆ ดูบ้าง ผมว่ามันคลาสสิกดี ก็แค่นั้น แต่ในชีวิตประจำวันของผมน่ะ อยู่กับข้าวของไฮเทคล้วนๆ

แน่นอนครับ เรียนเรื่องอะไรเก่าๆ มันก็ต้องไปศึกษาในสถานที่เก่าๆ ไปกิน ไปนอน ไปลูบๆ คลำๆ ของโบร่ำโบราณอายุหลายร้อยปี ใครต่อใครในรุ่นเจอเรื่องแปลกๆ เรื่องโน้นเรื่องนี้ เจอสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่า “ผี” กันถ้วนหน้า ยกเว้นผม นั่นยิ่งทำให้ผมเชื่อว่า “ผี” เป็นเพียงภาพหลอนที่จิตใต้สำนึกของคนเราสร้างคิดมาจากความกลัวนั่นเอง

ผมเรียนจบปริญญาตรีในปีที่ฟองสบู่แตกพอดิบพอดี หลังจากเตะฝุ่นอยู่หลายเดือน อาจารย์ท่านหนึ่งก็ชวนผมไปทำงานที่อุทยานประวัติศาสตร์ (ขออนุญาตไม่เอ่ยนามสถานที่นะครับ) ซึ่งอาจารย์สาวเก่งท่านนี้บอกผมว่าชวนเพื่อนผมไปมาหลายคนแล้ว บางคนปฏิเสธทันทีที่ได้ยินชื่อสถานที่ บางคนไปอยู่ได้ไม่กี่วันก็แพ็คกระเป๋าลากับเอาดื้อๆ อาจารย์บอกว่าที่ไม่ชวนผมตั้งแต่แรก (ทั้งที่ผมมีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งวุฒิการศึกษาและความเป็นคนจิตแข็ง ซึ่งข้อนี้สำคัญมาก) เพราะเธอคิดว่าพวกบ้าเทคโนโลยีอย่างผมคงไม่ยอมไปนอนข้างหลุมขุดค้นแน่

อาจารย์เดาเกือบถูกครับ ถ้าผมไม่เตะฝุ่นมาเกือบครึ่งปี ผมก็คงปฏิเสธ แต่ตอนนี้งานอะไรที่ไหนผมก็ทำทั้งนั้นล่ะ เพื่อนร่วมรุ่นได้งานกันเกือบหมดแล้ว ผมอยู่เฉยๆ ก็ขายหน้าแย่สิ

การทำงานของผมหลังจากเรียนจบปริญญา จึงต่างจากคนอื่น ขณะที่ใครต่อใครจากต่างจังหวัดมุ่งหน้าหางานในกรุงเทพฯ ผมคนกรุงเทพฯ ออกเดินทางสู่บ้านน้อก บ้านนอก…

งานของผมราบรื่นดีครับ ก็ผมเป็นแค่ลูกมือต๊อกต๋อย คอยหยิบโน่นจับนี่ตามที่บรรดาศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ทั้งหลายใช้ให้ทำ ประสบการณ์ผมยังน้อยครับ แยกไม่ออกหรอกว่าอันไหนก้อนหินธรรมดาๆ อันไหนอิฐยุคก่อนประวัติศาสตร์ ลุงยามคนเฝ้าไซต์งานยังดูจะรู้ดีกว่าผมอีก

ช่วงแรกๆ ผมกลับบ้านเดือนละครั้ง สองครั้ง ไม่ใช่คิดถึงบ้านอะไรหรอก แต่เป็นการกลับไปหาแสงสีต่างหาก แต่นานวันเข้าผมก็เข้ากรุงน้อยลง จะอะไรซะอีก เงินเดือนลูกจ้างชั่วคราวที่ผมได้มันไม่พอที่จะให้ไปไหนได้อย่างใจอยากน่ะสิครับ

หลังๆ นี่ผมกลับบ้านสามสี่เดือนครั้ง นั่นทำให้ผมไม่ได้เอะใจเลยว่าทุกครั้งที่กลับบ้านมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับผม และไม่ได้เอะใจด้วยว่า เรื่องแปลกๆ ที่ว่าจบลงที่จุดเดียวกัน จนกลับมานั่งคิดนี่แหละครับ

ขอเล่าย้อนไปเมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมา ผมกลับถึงบ้านค่อนข้างดึก เพราะเหนื่อยกับการเดินทาง ผมจึงทิ้งตัวนอนลงที่โซฟานั่นแหละครับ ล้มตัวลงนอนได้ผมก็หลับทันที…แล้วผมก็ฝัน…
ผมฝันว่าผมเดินเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นเคย เราคุยกันมาตลอดทาง จนกระทั่งอีกล็อกเดียวจะถึงบ้านผม ผมก็เกิดรู้สึกว่าผู้ที่เดินอยู่ข้างผม ไม่ใช่คน และเหมือนกับว่าเธอรับรู้ว่าผมรู้ถึงสถานภาพที่แตกต่างระหว่างเธอกับผม เธอยิ้มเยาะ
…ราวต้องมนต์สะกด ผมเดินเคียงคู่เธอมาเรื่อยๆ มุ่งสู่บ้านของตัวเอง ผมไขประตูรั้ว ทั้งที่ไม่อยากให้เธอเข้าบ้าน ผมเดินนำเธอเข้ามาในรั้วบ้าน และระหว่างที่ผมกำลังจะไขประตูเข้าสู่ตัวบ้าน เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างตัวก็ดังขึ้น
ผมสะดุ้งตื่นควานหาโทรศัพท์ ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่หายวับไป มันสมจริงราวกับไม่ใช่ความฝัน แต่เมื่อผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูกลับไม่มีเบอร์ใดๆ ปรากฏอยู่ ผมกดดูข้อมูลทั้งสายที่ได้รับ และสายที่ไม่ได้รับ สายที่ได้รับล่าสุดตอนสี่โมงเย็น ส่วนสายที่ไม่ได้รับล่าสุดเมื่อวานนี้ จะว่าเสียงแมสเซจเข้าหรือก็เปล่า นาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ก็ไม่ได้ตั้งไว้ แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะคิดว่าโทรศัพท์อาจจะรวนก็ได้ ผมนอนต่อ แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไป

สามสี่เดือนต่อมา ผมกลับบ้านอีกครั้งคราวนี้เป็นวันหยุดลองวีคเอ็นด์ ผมเช่าหนังมาเกือบสิบเรื่อง วันหยุดนี้ผมกะจะนั่งๆ นอนๆ ไม่ไปไหนไม่ทำอะไรทั้งนั้น พอตกบ่ายผมก็เคลิ้มหลับไป หน้าทีวีนั่นแหละ
แล้วผมก็ได้ยินเสียงน้องสาวร้องเรียกอยู่ริมรั้ว เธอเร่งให้ผมเปิดประตู บ่นกระปอดกระแปดว่า ถือของหนักจะแย่ ผมพยายามลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว ราวกับมีแรงมหาศาลกดทับร่างผมไว้ไม่ให้ลุก จะว่าตะคริวกินก็ไม่ใช่…ผมว่ามันเจ็บกว่านั้น
เสียงน้องสาวตะโกนเร่งอีกครั้งผมมองออกไป คราวนี้เธอเข้ามายืนอยู่ตรงประตูที่จะเข้าสู่ตัวบ้าน ผมรวบรวมแรงทั้งหมดลุกขึ้นนั่ง แล้วผมก็ต้องตกใจ เพราะผมเห็นร่างของตัวเองยังคงนอนอยู่ ผมรีบล้มตัวลงนอนทับร่างนั้น และมารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนเย็นค่ำ
ผมโทรฯถามน้องสาวว่าเธอมาที่บ้านเมื่อตอนบ่ายหรือไม่ เธอปฏิเสธ และยืนยันว่าเธออยู่ที่ร้านทำผมกับแม่ตลอดบ่าย แล้วใครกันที่มาตะโกนเรียกผม ผมคงฝันไปจริงๆ นั่นแหละ แต่แปลกที่ผมจำอาการเจ็บปวดขณะพยายามลุกขึ้นได้ดี มันไม่เหมือนอาการเหน็บชา มันคล้ายกับว่าจิตกับร่างกำลังจะแยกออกจากกันยังไงยังงั้น ผมจำภาพที่เห็นตัวเองนั่งอยู่แต่กลับเห็นร่างตัวเองนอนอยู่ได้ติดตา

และเมื่อคืนก่อนนี้เอง คราวนี้ผมไม่ได้หลับ จะหลับได้ยังไงก็ผมนั่งแช๊ตกับสาวน้อยคนหนึ่งอยู่ โต๊ะคอมพ์ของผมอยู่ริมหน้าต่างชั้นสอง หางตาผมเหลือบไปเห็น ผู้หญิงผมยาวห่มผ้าสไบ นี่มันชั้นสองนะครับ นอกหน้าต่างไม่มีระเบียง ใครจะมายืนได้อย่างไร ผมบอกตัวเองไม่ให้หันไปมอง เพราะเริ่มปอด แต่เหมือนมีอะไรบังคับให้ผมหันไปดู คราวนี้เห็นจะจะเลยครับ ผู้หญิงชุดไทยคนนั้นเคลื่อนผ่านหน้าบ้านผมไปช้าๆ เธอสวย…สวยมากเลยล่ะครับ ด้านหลังเธอมีหญิงสาวอีกสองสามคนเคลื่อนตาม…เคลื่อนที่นะครับ ดูลอยๆ ไหลๆ ไม่ใช่เดินอย่างเราๆ
คนไม่กลัวผีอย่างผมเริ่มกลัวขึ้นมาแล้วสิครับ นึกบทสวดอะไรขึ้นมาได้ก็ท่องมั่วไปหมด หลับหูหลับตาสวดมนต์ได้สักพักผมก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภายนอกมีแต่ความเงียบ สติของผมเริ่มกลับมา ผมมองสำรวจอีกครั้งและก็ต้องตกใจอีกรอบเพราะที่หน้าบ้านผมมีเงาร่างของใครบางคนยืนขวางอยู่ที่หน้าประตู ร่างนั้นใหญ่บึกบึนและดูทะมึนๆ เกินกว่าที่ผมจะคิดว่าเป็นคน ไม่นึกถึงขโจรขโมยอะไรทั้งนั้น ผมโดดขึ้นเตียงนอนทันทีไม่ชงไม่แช๊ตมันแล้ว

ผมเริ่มสงสัยว่า ตั้งแต่ต้นปีมานี่ เรื่องแปลกๆ มันเกิดขึ้นเกือบทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน และทุกครั้งเรื่องจบลงที่ประตู บ้านผมเป็นทาวน์เฮาส์ ถัดจากรั้วบ้านก็มีประตูบานนี้เพียงบานเดียวที่จะเข้าสู่ตัวบ้านได้…ผมสำรวจที่ประตู มันก็เป็นเพียงประตูไม้ธรรมดาๆ
พอมองขึ้นไปด้านบน เหนือกรอบประตู ผมก็พบกับกระดาษสีแดง ที่มีตัวอักษรจีนที่ผมอ่านไม่ออกติดอยู่ กระดาษที่เรียกว่า “ฮู้” ซึ่งแม่ใช้ให้ผมนำขึ้นไปติด และเปลี่ยนใหม่ทุกๆ ตรุษจีนนั่นเอง คำตอบที่ว่าทำไมเหตุการณ์ต่างๆ จึงยุติลงที่ประตูคงจะเกี่ยวเนื่องกับกระดาษแผ่นนี้
แต่สิ่งที่ผมยังสงสัยคือ ใครกันที่พยายามจะเข้ามาในบ้านผม เธอคนนั้นเป็นใคร และต้องการอะไร เธอตามผมมาจากโบราณสถานแห่งนั้นหรือไม่ ถ้าใช่ทำไมตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นั่นกลับไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับผมเลย
———————————

ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสารผี๔๘
ปีที่ 4 ฉบับที่ 79
ปักษ์แรก 1-15 กรกฎาคม 2551


หิ่งห้อยกับดวงดาว

มิถุนายน 12, 2008

ไกลออกไป ในที่ที่แสงไฟสว่างไสวของเมืองใหญ่ยังไม่รุกล้ำความมืดของราตรีกาล ท่ามกลางความมืดมิด มีกลุ่มแสงเล็กๆ สว่างวิบกะพริบหายอยู่วาบวาบ

ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ยังไม่เข้าสู่ห้วงนิทราต่างจ้องมองแสงนี้ด้วยความเพลิดเพลินและหลงใหล…แสงสว่างแม้เพียงเล็กน้อยเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดช่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจ ราวกับดาวบนฟ้าพร้อมใจกันลงมาให้ผู้คนบนดินได้เชยชม

ผู้คนออกมาชี้ชวนกันดูแสงงาม
ใช่แล้ว, แสงแห่งหิ่งห้อย มนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติยามค่ำคืน

บรรดาหิ่งห้อยหาได้รู้ไม่ว่า แสงของมันมีเสน่ห์ มันรู้เพียงว่านั่นเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ และมันก็รับไว้ใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง
แล้วหิ่งห้อยก็ได้รับรู้ถึงความงามของตนในคืนหนึ่ง เมื่อดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้า…ดาวซึ่งไม่มีใครรู้จักเอ่ยทัก
“สวยจัง ฉันเฝ้ามองโลกอยู่นาน…โลกที่กว้างใหญ่ มีแสงสว่างมากมาย แต่ฉันว่าแสงของเธอสวยกว่าแสงใดๆ ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น”
หิ่งห้อยมองหาที่มาของเสียง
“ฉันอยู่ข้างบน…บนท้องฟ้านี่”
หิ่งห้อยมองหา บนท้องฟ้ามีดวงดาวมากมาย มันไม่รู้จริงๆ ว่าดาวดวงไหนกันที่เอ่ยชมซะจนมันเขิน
“คุณดวงดาว โปรดระบุตำแหน่งด้วยว่าคุณอยู่ที่ไหน”
“ลองมองหาดาวดวงเล็ก ที่ไม่ได้อยู่รวมกับกลุ่มดาวใดๆ สิ ฉันเป็นดาวที่มนุษย์ยังไม่ค้นพบ เลยยังไม่มีชื่อ” ดวงดาวตอบ
“นั่นคุณใช่มั้ย?” หิ่งห้อยหันไปที่ดาวดวงหนึ่ง ดาวดวงเล็กๆ ซึ่งมีแสงสว่างวิบกะพริบวาบ คล้ายกับตัวมัน
“ใช่ๆ, แต่เห็นฉันเล็กๆ อย่างนี้จริงๆ ฉันตัวใหญ่มากนะ เพียงแต่ฉันอยู่ไกลเธอจึงมองเห็นว่าฉันเล็ก แต่ที่ฉันมองเห็นแสงจุดเล็กๆ อย่างเธอนี่ไม่รู้ว่าเพราะฉันสายตาดี หรือเพราะเรามีส่วนที่คล้ายกัน” ดวงดาวชวนเพื่อนใหม่คุย
“คล้ายกันยังไงเหรอ?” หิ่งห้อยนึกสงสัย
แสงเล็กๆ อย่างมันจะคล้ายกับแสงดาวที่ดูยิ่งใหญ่ได้อย่างไร แค่ฟังชื่อก็รู้สึกถึงความต่างแล้ว…หิ่งห้อยกับดวงดาว
“ตรงที่ผู้คนมองเห็นเพียงว่าเราเป็นแค่แสงเล็กๆ ท่ามกลางแสงอีกมากมายมั้ง” ดวงดาวตอบ

นับแต่นั้นมาดวงดาวกับหิ่งห้อยก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทั้งสองผลัดกันเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็นให้อีกฝ่ายได้ฟังอย่างสนุกสนาน

แม้หิ่งห้อยจะมีอายุไม่ยืนยาวเฉกเช่นดวงดาว แต่เมื่อหิ่งห้อยรุ่นก่อนๆ ตายไป ก็จะมีหิ่งห้อยรุ่นใหม่ๆ เติบโตขึ้นแทนเสมอ ดาวดวงน้อยซึ่งเล็กเกินกว่าที่นักดาราศาสตร์จะสนใจจึงไม่เคยเหงา แม้จะเศร้าใจในเวลาที่เพื่อนเก่าจากไป แต่นานวันเข้ามันก็ได้รู้ว่านั่นคือสัจธรรมที่ไม่อาจเลี่ยง สักวันก็คงถึงเวลาที่มันต้องจากไปเช่นกัน

แล้ววันหนึ่งดวงดาวก็พบว่าแสงจากหิ่งห้อยเพื่อนของมันมีจำนวนน้อยลง
ดวงดาวสอบถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง และได้คำตอบที่น่าเศร้าว่า
“เมื่อเร็วๆ นี้มีผู้คนมากมายย้ายมาอาศัยที่บริเวณที่ฉันอยู่ เขาสร้างอาคารใหญ่โต ผู้คนเรียกสิ่งนั้นว่าโรงงานอุตสาหกรรม เขาสร้างบ้านเรียงรายและเรียกสิ่งนั้นว่าหมู่บ้านจัดสรร เขาสร้างสนามโล่งๆ กว้างๆ ปลูกหญ้าเตี้ยๆ แล้วเรียกสิ่งนั้นว่าสนามกอล์ฟ…การก่อสร้างสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนั้นทำให้ต้นลำพูบ้านของฉัน และต้นไม้อื่นๆ ถูกโค่นลง เมื่อต้นลำพูลดจำนวนลง หิ่งห้อยอย่างฉันลดลงไปด้วย หิ่งห้อยไร้บ้านจำนวนมากตายลงก่อนที่จะได้มีลูกหลานไว้สืบทอดเผ่าพันธุ์ พวกเราที่เหลืออยู่ก็ต้องอยู่อย่างอดอยาก บางตัวก็ไม่แข็งแรงเพราะบินไปอาศัยในต้นไม้อาบยาพิษ…บางตัวทนความหิวไม่ไหวทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่กินปนเปื้อนด้วยยาฆ่าแมลงก็ยังฝืนกิน…”

แสงจากดวงดาวที่ได้รับรู้ความเดือดร้อนของเพื่อนหรี่วูบลงด้วยความเศร้าแล้วลุกโชนด้วยความโกรธ แต่เพราะมันเป็นเพียงแสงเล็กๆ แสงหนึ่งบนท้องฟ้าจึงไม่มีใครสังเกตเห็

แม้จำนวนหิ่งห้อยจะลดน้อยลง แต่ผู้คนก็ยังคงชี้ชวนกันมาดูแสงแห่งหิ่งห้อยอยู่ ทว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่ผู้คนเดิมๆ ที่เป็นชาวบ้าน ไม่ใช่เด็กที่ไม่อยากนอนร้องโยเยยามค่ำด้วยห่วงเล่น ไม่ใช่หนุ่มสาวที่ชี้ชวนกันดูความงามของธรรมชาติยามกลางคืน ไม่ใช่คนแก่ที่นอนไม่หลับแม้จักข่มตาเท่าใด หากแต่เป็นผู้คนที่เรียกตัวเองว่า ‘นักท่องเที่ยวผู้รักธรรมชาติ’

ผู้คนออกมาชี้ชวนกันดูแสงงาม
ใช่แล้ว, แสงแห่งหิ่งห้อย มนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติยามค่ำคืน ที่คนเมืองใหญ่ยากจะสัมผัส

กาลเวลาผ่านไป บัดนี้แสงของหิ่งห้อยแทบไม่มีให้เห็น นักท่องเที่ยวผู้รักจะฉกฉวยเสพเอาความงามของธรรมชาติหมดสนุกและเบื่อหน่ายกับการเฝ้ารอค่อนคืนเพียงเพื่อจะได้เห็นแสงเล็กๆ
“แสงเล็กๆ ไม่ควรค่าแก่การรอคอย” พวกเขาสรุปแล้วจากไปอย่างไม่ไยดี

ดวงดาวกวาดตามองหาหิ่งห้อย แสงจากหลอดไฟฟ้าสว่างไปทั่ว ไม่ว่าจะที่ไหนก็มีแต่แสงเทียมที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น แสงสว่างจัดจ้าแต่ไร้เสน่ห์บดบังแสงของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างหิ่งห้อยจนหมดหรือ หรือว่าไม่มีหิ่งห้อยเหลืออยู่อีกแล้ว !

ดวงดาวตะโกนร่ำร้องหาเพื่อน แต่ไร้เสียงตอบ มันอยากรู้ว่าเพื่อนมีความเป็นไปอย่างไรบ้าง เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากเพื่อน ทั้งยังมองไม่เห็นว่าเพื่อนอยู่ที่ไหน ดวงดาวจึงตัดสินใจออกเดินทางตามหาหิ่งห้อย
มันระเบิดตัวเองออกเป็นสะเก็ดดาวนับพันนับหมื่นชิ้นและพุ่งตรงมายังโลก !

ผู้คนออกมาชี้ชวนกันดูแสงงาม
ใช่แล้ว, แสงแห่งดาวดวงเล็กๆ ที่หล่นจากฟากฟ้า มนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติยามค่ำคืนที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆ คนเมืองใหญ่เรียกแสงนั้นว่า ‘ฝนดาวตก’

ทว่า หิ่งห้อยกลุ่มสุดท้ายของดาวโลก ซึ่งอ่อนแรงเกินกว่าจะตอบรับเสียงเรียกจากดวงดาว เรียกแสงนั้นว่า ‘น้ำตาแห่งดวงดาว’

หากคำอธิษฐานกับดาวตกเป็นจริงได้ดังตำนานที่ผู้คนเล่าขาน…สักวันหิ่งห้อยและดวงดาวคงได้พบกัน

11 มิถุนายน 2551