ไม่ใช่แค่ที่คั่นหนังสือ

กรกฎาคม 30, 2007

scan000.jpg

นานๆ จะว่างสักที
วันหยุดนี้ แม้ไม่ได้ไปไหน แต่ก็ได้พบกับของเล็กๆ ที่น่ารัก
ที่คั่นหนังสือที่เป็นมากกว่าที่คั่นหนังสือ
ที่คั่นหนังสือที่บอกเรื่องราว

ที่จริงน่าจะมีเยอะกว่านี้นะ แต่ไม่รู้เก็บไว้ที่ไหน
น่าเสียดาย…ต้องเริ่มเก็บเป็นเรื่องเป็นราวแล้วล่ะ

30 กรกฎาคม 2550


ลูซี่ผู้เย่อหยิ่ง

กรกฎาคม 29, 2007

ทันทีที่รถเก๋งคันงามเข้ามาจอดในบ้านอันร่มรื่น เสียงใสๆ ของเด็กวัย 7 ปีก็ดังขึ้น
“คุณพ่อคุณแม่มาแล้ว” น้องลิลลี่ผละออกจากกองของเล่นตรงหน้าอย่างดีใจ
“ไงลูก วันนี้เป็นเด็กดีหรือเปล่า ดูซิพ่อกับแม่มีอะไรมาฝาก…นี่ไงลูกสุนัขที่หนูอยากได้”
“น่ารักจังเลยค่ะ”
“หนูต้องเลี้ยงและดูแลมันอย่างดีนะจ๊ะ”
“แน่นอนเลยค่ะ” น้องลิลลี่รับรองแข็งขัน

“เด็กหญิงตั้งชื่อเจ้าลูกสุนัขว่า ‘ลูซี่’ นับแต่วันนั้นลูซี่ก็เป็นขวัญใจของทุกคน ด้วยความน่ารักช่างประจบของมันทำให้ทุกคนหลงใหล น้องลิลลี่ถึงกับเอาลูซี่ไปนอนด้วยกันในห้องนอนทุกคืน โดยที่คุณแม่ไม่ได้ห้ามปราม ทั้งที่ก่อนนั้นคุณแม่ไม่เคยยอมให้เธอเอาสัตว์เลี้ยงตัวใดเข้าไปนอนด้วยเลย ลูซี่ภูมิใจกับสิทธิพิเศษที่มันมีเหนือสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ อย่างมาก

ไม่เฉพาะกับคนเท่านั้น ลูซี่ยังเป็นขวัญใจของเหล่าสุนัขที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย โดยเฉพาะสุนัขหนุ่มๆ ต่างเฝ้าวนเวียนอยู่หน้าบ้านไม่เว้นแต่ละวัน สุนัขสาวๆ ก็ล้วนแต่อิจฉาที่ลูซี่มีขนฟูน่ารัก แถมยังได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่อีกต่างหาก ลูซี่จึงหลงตัวเองหนักขึ้นไปอีก

“เชอะ หมาสกปรกอย่างพวกเธอน่ะหรือ ฉันไม่สนหรอก” ลูซี่เชิดใส่หมาทุกตัวที่มาผูกมิตร แต่พวกหมาหนุ่มเหล่านั้นก็ไม่ละความพยายามที่จะเอาชนะใจเธอให้ได้ ในจำนวนนั้นมีหมาหนุ่มที่ชื่อ ‘มอมแมม’ อยู่ด้วย

มอมแมมแตกต่างจากลูซี่อย่างสิ้นเชิง มันเป็นหมาที่ถูกทิ้งตั้งแต่เล็กๆ ต้องคุ้ยขยะกินเป็นประจำ ตอนนี้มันอาศัยอยู่ที่หน้าหอพักไม่ไกลจากบ้านลูซี่ มันฉลาด แสนรู้ และไม่เคยทำตัวเป็นหมาเกเร ทำให้คนที่อาศัยในหอพักนั้นให้ความเมตตาหยิบยื่นอาหารให้มันเสมอๆ 

วันหนึ่ง มันได้รับเนื้อชิ้นโตจากนักศึกษาที่ชวนเพื่อนๆ มาจัดงานเลี้ยง แทนที่มันจะกินเนื้อชิ้นนั้น มันกลับคาบไปที่บ้านของลูซี่และอวดอย่างยินดี
“ลูซี่ดูนี่สิ ของดีน้า…เนื้อชิ้นโตฮ้อมหอม ลองชิมหน่อยเถอะ ฉันคาบมานี่อดใจแทบไม่ไหวเลย”
“……………………” ลูซี่เชิดใส่ ไม่พูดด้วยตามเคย
“ลองดมดูสิหอมเชียว ชิมสักคำก็ยังดีนะ”
“ไม่! จะกินเข้าไปได้ยังไง เศษเนื้อจากไหนก็ไม่รู้ นี่คงไปเก็บของที่คนเขาทิ้งแล้วมาอีกละสิ เอาออกไปไกลๆ เลยไป๊” ลูซี่ทำท่ารังเกียจ
“ไม่สกปรกหรอกรับรองได้” มอมแมมไม่ละความพยายาม แต่ลูซี่กลับเดินหนีเข้าบ้านอย่างไม่ใยดี ทำเอามอมแมมจ๋อยไปหลายวัน

“ฉับว่านายล้มเลิกความตั้งใจเถอะ”
“นั่นสิ ยังไม่เข็ดอีกหรือ”
“พวกเราหมั่นไส้ยัยนั่นเต็มทนแล้วนะ หน็อยถือตัวว่าเป็นหมาฝรั่ง หน้าตาน่ารักหน่อยทำหยิ่ง ลืมตัวไปว่ายังไงๆ ก็เป็นหมาอย่างเราๆ นี่ล่ะ”
“ใช่ๆ”
พวกหมาหนุ่มที่เคยถูกลูซี่เชิดใส่ บางตัวก็โดนตอกกลับมาด้วยคำพูดเจ็บๆ พากันมาเตือนมอมแมม
“ความจริงนายก็เท่ดีนะ ฉันว่านายไปจีบหมาตัวอื่นดีกว่า”
“ไม่! ฉันชอบลูซี่ตัวเดียวเท่านั้น”

แล้วโชคก็เข้าข้างมอมแมม เมื่อวันหนึ่งขณะที่น้องลิลลี่เดินกลับจากโรงเรียน สุนัขจรจัดตัวหนึ่งตรงเข้ามาจะทำร้ายเธอ เจ้ามอมแมมเข้าไปช่วยเอาไว้ แต่ตัวมันกลับได้รับบาดเจ็บ เด็กหญิงจึงพามันกลับไปที่บ้าน และขอให้คุณพ่อคุณแม่พามันไปหาหมอ พร้อมทั้งขอเลี้ยงมอมแมมไว้ในบ้านอีกตัว “จะได้เป็นเพื่อนลูซี่ไงคะ” ลิลลี่อ้อนคุณแม่

“โฮ่งๆ ไม่เอ๊า ไม่เอา ฉันไม่อยากได้หมาสกปรกข้างถนนเป็นเพื่อน” ลูซี่พยายามบอกนายน้อยของเธอ
“ว้าว เยี่ยมไปเลย เจ็บตัวนิดหน่อยแต่ก็คุ้มแฮะ” มอมแมมร้องอย่างดีใจ
“ยังไงนายก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชั้นหรอก โน่น บ้านนานอยู่ที่สนามโน่น หมาสกปรกอย่างนายไม่ได้อยู่ในบ้าน ไม่ได้นอนห้องแอร์อย่างฉันหรอก”
“ช่างปะไร ฉันเป็นหมา ได้อยู่ในที่กว้างๆ มีสวน มีต้นไม้น่ะดีถมไปแล้ว นี่ฉันถามจริงๆเถอะ เธอไม่คิดจะไปวิ่งเล่นออกกำลัง หรือนอนกลิ้งบนพื้นหญ้าเหมือหมาอื่นๆ บ้างหรือไง”
“ยี้…นอนกลิ้งบนพื้นสกปรกน่ะหรือ ไม่มีทาง” ลูซี่ทำท่าขยะแขยง

แม้มอมแมมจะถูกแปลงโฉมซะจนไม่เหลือคราบหมาข้างถนน แต่ลูซี่ก็ยังรังเกียจมันอยู่ดี ทุกครั้งที่มอมแมมพยายามเข้าใกล้ลูซี่ มันจะถูกไล่อย่างไม่มีเยื่อใย

“แม็กกี้ แม็กกี้ มานี่เร็ว เอ…ไปอยู่ไหนนะ แม็กกี้…มาเล่นลูกบอลกันเร้ว”
“นี่นายซื่อบื้อ น้องลิลลี่เรียกไม่ได้ยินรึ จำชื่อตัวเองไม่ได้หรือไง ไปไป๊”
‘แม็กกี้’ เป็นชื่อใหม่ที่ลิลลี่ตั้งให้มอมแมมนั่นเอง เด็กหญิงถูกอกถูกใจเพื่อนใหม่ตัวนี้มาก แม็กกี้คอยเป็นเพื่อนวิ่งเล่นกับเธอ เวลาที่เธอขี่จักรยานไปไหนมันก็คอยวิ่งตามไม่ห่าง บ่อยครั้งที่เกมขว้างกิ่งไม้หรือจานร่อนให้แม็กกี้วิ่งไปคาบเรียกเสียงหัวเราะของน้องลิลลี่และทุกคนในบ้านได้ เกมเหล่านี้ลูซี่ไม่เคยเล่นเลย ไม่ใช่เพราะลิลลี่ไม่ยอมให้เล่นหรอก แต่เป็นเพราะลูซี่ไม่ยอมเล่นเองต่างหาก

“ไม่ไปเล่นด้วยกันหรอ” แม็กกี้ชวนเพื่อนสาว
“เรื่องอะไรชั้นจะต้องไปออกแรงเล่นอะไรเหนื่อยๆ อย่างนั้นด้วย ขืนชั้นไปวิ่งกลางแดดอย่างนั้นขนชั้นก็เสียหมดน่ะสิ”
แม็กกี้ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาในความเจ้าสำอางของลูซี่
“เฮ้อ…เอาแต่ห่วงสวย ไม่ได้รู้ตัวเล้ย”

ใช่แล้ว ลูซี่ไม่ได้สังเกตตัวเองเลยว่าการนั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในห้องแอร์ กินอาหารดีๆ โดยไม่ออกกำลังกาย ทำให้มันเริ่มจะกลายเป็นหมาพะโล้ไปแล้ว

วันนี้น้องลิลลี่ชวนเพื่อนๆ มาเล่นที่บ้าน ทุกคนวิ่งเล่นขว้างบอลไล่จับกันอย่างสนุกสนาน โดยมีลูซี่เฝ้ามองอย่างอิจฉา พักนี้น้องลิลลี่ดูสนิทสนมกับแม็กกี้มาก จนแทบไม่มีเวลาเล่นจับเธอแต่งตัวสวยๆ อย่างเมื่อก่อนเลย
“เจ้าหมาสกปรกนั่นมีดีอะไรนะ?”

ลูซี่มองดูพวกเด็กๆ รวมทั้งแม็กกี้วิ่งเล่น น้องลิลลี่ดูร่าเริงมาก…มากซะจนมันอดใจไม่ไหว วิ่งออกไปรวมกับพวกเด็กๆ มันรู้สึกสนุกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

หลังจากวิ่งๆๆ จนเหนื่อยหอบ เนื้อตัวสกปรกเลอะเทอะ มันกลับรู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก
“แปลกแฮะ เนื้อตัวเปื้อนฝุ่นสกปรกอย่างนี้ ทำไมฉันไม่เห็นรู้สึกว่ามันน่าขยะแขยงอย่างที่เคยคิดเลยนะ รู้สึกสบายซะด้วยซ้ำ” ลูซี่พูดทั้งๆ ที่ยังหอบอยู่

“ก็เพราะเธอเป็นหมาน่ะสิ ไม่ใช่ตุ๊กตาหมาซักหน่อย”
“ตุ๊กตาหมา?”
“ก็เธอเอาแต่แต่งตัวสวยๆ นอนอยู่แต่ในห้อง ให้น้องลิลลี่กอดรัด แปรงขน ติดโบ ไม่ให้เรียกว่าตุ๊กตาแล้วจะเรียกอะไรดีล่ะ ที่แย่กว่านั้น เธอยังลืมตัวว่าตัวเองเป็นหมาด้วย!”
“ลืมตัวตรงไหนยะ ชั้นออกจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่แสนดีของน้องลิลลี่ นายก็เห็นไม่ใช่หรือ” ลูซี่เถียง
“เธอเคยด่าหมาอื่นๆ ไว้ยังไงบ้างล่ะ ว่าสกปรกบ้างล่ะ วิ่งเล่นไร้สาระบ้างล่ะ ว่า…”

“พอแล้วๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ชั้นขอโทษก็ได้…แต่นายจะมาโทษชั้นฝ่ายเดียวไม่ได้นะ ก็ชั้นถูกเลี้ยงให้โตมาอย่างตุ๊กตาหมานี่นา”
“ไม่ยกโทษให้…” แม็กกี้ทำเสียงเข้มทำเอาลูซี่หน้าเสีย แต่แล้วเธอก็ยิ้มออกมาได้เมื่อแม็กกี้พูดต่อว่า
“…จนกว่าเธอจะเรียนรู้วิธีการเป็นหมาจริงๆ จากฉันก่อน”

ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสารแม่และเด็ก
ฉบับ 373 มีนาคม 2546
 


เรื่องไอ้กร 12 : อุลตร้าแมน แอนด์ ไมยราบ

กรกฎาคม 23, 2007

หลังจากทำให้สาวน้อยบาร์บี้เจ็บช้ำด้วยวาจาและบาทาของเหล่าอุลตร้า ไอ้ตัวดีก็หลับโดยมีสาวน้อยนั้นอยู่คาอก
คุณน้าแกะบาร์บี้ที่ตอนนี้อยู่ในสภาพโทรมสุดๆ ออกจากมือมัน ก่อนจะลากให้ขึ้นมานอนบนเตียง อุ้มไม่ไหวแล้วล่ะ อย่าฉี่รดละกัน

‘หน้าตาแบบนี้?’ ฮึ่ม…ต้องรู้ให้ได้เชียวว่าเจ้าแม่อุลตร้าน่ะสวยแค่ไหน หน็อย

เช้าวันต่อมาคุณน้าถาม
“นี่เจ้าแม่อุลตร้าสวยหรอ ต้องหน้าตาแบบไหนถึงเป็นเจ้าแม่อุลตร้าได้”
“ธ่อ! ก็ต้องเป็นแบบคุณป้ามิโดริงั้ย”
“มิโดริไหน? ในเรื่องอาราเล่?”
“ไม่ใช่ๆ ไม่เกี่ยวเลย”
“คุณแม่ชินจัง?”
“คนนั้นชื่อมิซาเอะ”
“แล้วใครอ่ะ”
“คุณป้ามิโดริ ก็เป็นเจ้าแม่อุลตร้าปลอมตัวมาเป็นคน มาช่วยอุลตร้าแมนทาโร่ ตอนนั้นไง ตอนที่มีอุลตร้าแมนเยอะๆ ที่มีเจ้าพ่ออุลตร้า มีโซฟี่เป็นพี่ใหญ่ มีอุลตร้าแมนแจ๊ค อุลตร้าแมนเฉยๆ…”

“อุลตร้าแมนเฉยๆ ?” คุณน้าเริ่มมึนกับสารพัดอุลตร้า
“ก็อุลตร้าแมน ชื่ออุลตร้าแมนเฉยๆ คนที่คล้ายๆ กับอุลตร้าแมนแจ๊คไง” มันทำท่าแบบคุณน้านี่ไม่รู้เรื่องเล้ยยยย แล้วร่ายต่อ
“อุลตร้าแมนทาโร่น่ะ เป็นน้องเล็ก เท่…มีเขาเหมือนเจ้าพ่ออุลตร้าด้วย แต่เจ้าพ่อเขาใหญ่กว่า…”
“พอแล้วๆ กินข้าว ไม่เข้าเรื่องล่ะเก่งนัก” คุณยายชักรำคาญไอ้ตัวดีที่รู้ดีไปหมดทุกเรื่องยกเว้นเรื่องเรียน

แต่คุณน้าว่ามันก็น่ารักดี อย่างน้อยก็รู้ว่าเรื่องไหนที่ไอ้ตัวดีสนใจมันก็รู้จักสังเกต จดจำรายละเอียด อย่างอุลตร้าแมนเฉยๆ กับอุลตร้าแมนแจ๊คต่างกันตรงไหนมาก็บอกได้ อุลตร้าแมนไกญ่ากับอุลตร้าแมนไดน่า ที่คุณน้าดูยังไงก็แยกไม่ออก มันก็บอกให้ดูนี่ๆ ไอ้แหลมๆ ยื่นไปข้างหน้าชื่อไดน่า ส่วนไกญ่าแหลมๆ ยื่นไปข้างหลัง ไอ้ตัวที่ยืนหน้าร้านขายแผ่นวีซีดีนั่นไดน่า ตัวนั้นสึแดงเยอะกว่าสีน้ำเงิน ตัวโน้นสีน้ำเงินเยอะกว่าสีแดง โน่นริวคิ นี่คูก้า ตัวอะไรมันแยกได้หมด

“สังเกตแต่อะไรไม่เข้าเรื่องน่ะซี้ ถ ถุง กะ ภ สำเภา ยังแยกไม่ออก” คุณยายหมั่นไส้คุณน้าที่เข้าข้างหลาน
“แยกไอ้พวกตัวประหลาดนี่มันก็ยากนา ต้องสังเกตดีๆ หน้าตามันเหมือนกันหมด หนูยังแยกไม่ออกเลย”
“แล้วจะแยกแยะมันไปทำมั้ย จะไปแข่งแฟนพันธุ์แท้เรอะ”
“ก็ให้มันค่อยๆ สังเกตอย่างอื่นไปด้วยไง เริ่มจากเรื่องที่มันชอบก่อนนี่ล่ะ”
“เหอะ” คุณยายเก็บอาการหมั่นไส้สองน้าหลานไม่อยู่ซะแล้ว
“ไปกัปตันไปรอรถ กรรีบๆ กินข้าวแล้วออกมาเร็วๆ” คุณยายพากัปตัน พี่ไอ้กร ที่เรื่องมากน้อยกว่า พูดน้อยกว่า ซ่าน้อยกว่าออกไปรอรถโรงเรียนที่สวนหย่อมใกล้บ้าน

พอไอ้กรกินเสร็จก็ตามออกไป
คุณยายชี้ให้มันดูต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ปลูกเป็นแถวยาวด้านหนึ่งของสวนหย่อมแล้วถาม
“นั่นต้นอะไร”
ไอ้ตัวดีตอบอย่างมั่นใจ
“ไมยราบ! ต้นที่ตีแล้วใบมันหุบไง”
สองพี่น้องตรงเข้าไปใช้นิ้วเขี่ยๆ ‘ไมยราบ’ หวังว่ามันจะมันหุบใบให้ดู
“ต้นใหญ่กว่าที่บ้านปู่อีก…ทำไมมันไม่หุบอ่ะ”
“เค้าเรียกกระถิน ไม่ใช่ไมยราบ กินได้ด้วยนะ” คุณยายหันมามองคุณน้าส่งสายตาบอกว่า เนี่ยนะเด็กช่างสังเกตของเอ็ง

แล้วคุณยายก็ต้องอมยิ้มกับความช่างสังเกตของมันจนได้
เมื่อมันชี้ไปที่ต้นมะขามใหญ่ริมสนามแล้วถาม
“กระถินกินได้พอโตแล้วจะเป็นแบบโน้นใช่มั้ย?”

เอาน่า…คุณยายก็ ไอ้กรมันเพิ่ง 6 ขวบกว่าๆ เอง ยังมีอะไรให้สังเกตและเรียนรู้อีกเยอะ

23 กรกฎาคม 2550